ช่วงนี้มีโฆษณาหนังสือพลังแห่งชีวิตหนักหน่วงมาก
ชักเป็นห่วงแม่ เพราะรู้ว่าแม่ไม่ชอบวิธีแบบนี้กับศาสนา
แต่ได้ยินข่าวว่าทางการจะเข้าไป "จัดการ" ผมก็ว่ามันเกินไป และไม่ตรงประเด็นปัญหา (ของชาวพุทธ) สักหน่อย ผมคิดว่า
๑. กระทรวงวัฒนธรรมไม่ควรเอาเรื่องโฆษณาหนังสือ ขอแค่จับตามองไว้ ไม่ให้มีอะไรเกินเลย
๒ . เนื่องจากกระทรวงฯ เป็นเรื่องทางโลกย์ และควรสนับสนุนทุกศาสนาเท่าเทียมกัน คนที่ควรจะออกแรงจริงๆ จึงไม่ใช่กระทรวง แต่เป็นองค์กรของชาวพุทธ!
แต่ไม่ใช่ออกแรงไปต้านเขา ด่าเขา เสียเวลาเปล่า แต่ควรที่จะกวาดบ้านตัวเองให้หนักขึ้น ได้แก่
๒ .๑ กวดขันพระสงฆ์องค์เจ้าให้ดี อย่าให้มีเรื่องเสื่อมเสียรายวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุรา เรื่องสตรี เรื่องการพนัน เรื่องเงิน เรื่อง CD เถื่อน ฯลฯ
๒.๒ ทบทวนการเรียนการสอนพุทธศาสนาของเราให้ดี ว่าบกพร่องตรงไหน ทำไมบางคนยังไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องบวช ทำไมต้องบิณฑบาต ทำไมถึงไหว้พระพุทธรูป ถ้าดีหรือไม่อยู่ที่ใจ ฆ่าสัตว์ไป ดื่มเหล้าไป แล้วดีในใจไม่ได้หรือ คนที่บรรลุไปแล้ว เคยคุยกับคนที่ไม่บรรลุไหม ว่าเขาข้องใจตรงไหน คำถามหลายๆคำถาม ผมก็เพิ่งทราบ ว่ามันเคยมีคนถามมาสองพันกว่าปีแล้ว และก็มีคนตอบให้กระจ่างแล้ว ทำไมเราไม่เอามาสอนเด็กๆอย่างผมบ้าง (เกี่ยวกับจารวาก? หรือมิลินทปัญหาที่มีเป็นมินิซีรีส์อยู่ในห้องสมุดมันช่วยได้ไหม แล้วเราเอามาขยายผลได้ไหม?) รับรองว่าไม่มีในวิชาพุทธศาสนาสมัยผมเรียนแน่ๆ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าสมัยนี้มีวิชาพุทธศาสนาเหลืออยู่ในโรงเรียนไหม ถ้าไม่มีแล้ว เรามีช่องทางอื่นไหม ที่จะเข้าถึงเด็กๆของเรา?
มีเพื่อนคนหนึ่ง เปลี่ยนศาสนาไป เพราะ "เชื่อตามที่เห็น" ว่าศาสนาพุทธไม่มีสาระ สวดก็ฟังไม่รู้เรื่อง ทำบุญเงินบุญก็เข้ากระเป๋าหลวงพี่ หาประโยชน์ไม่ได้ คือคิดถึงศาสนาพุทธอย่างอุดมคติ (ตามหลักวิทยาศาสตร์ปนประโยชน์นิยมในห้องเรียนที่กล่าวหาแม้กระทั่งประเพณีท ้องถิ่นว่าไร้สาระ) แล้วมองภาพในวัดที่เป็นอยู่จริง มันขัดกันมากเกินไปหรือไม่!
ควรทบทวนซ่อมจุดอ่อนเสริมจุดแข็ง แล้วก็ทำเป็นยุทธศาสตร์การเผย่แผ่ศาสนาพุทธได้แล้ว
๓. ผมคิดว่า อันที่จริงที่ว่าประชากรของเรานับถือพุทธเป็นส่วนใหญ่นั้นควรคิดให้รอบคอบไม่ประมาท ว่าอันที่จริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่
ห รือจะมีประชากรที่นับถือ "ผี" มากกว่า เช่นถูต้นไม้ขอหวย (ข้อนี้ก็โดนเพื่อนตัวดีของผมผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความไร้สาระของศาสน าพุทธ (ตามที่เขาเข้าใจ) เช่นกัน)
ผมไม่ได้จะมาแย้งว่า ต้นไม่ศักดิ์สิทธิ์มีหรือไม่มีจริง เพราะไม่ว่ามีหรือไม่มีจริง ศาสนาพุทธก็ย่อมไม่สอนให้ใช้ความศักดิ์สิทธิ์ใดๆนั้นเพื่อประโยชน์ทางโลกย์ (ขอหวย) อยู่แล้ว คนที่เป็นสาวกของต้นไม้เพื่อประโยชน์ทางการพนันขันต่อ ยังจะนับเป็นชาวพุทธด้วยละหรือ?
ถ้าชาวพุทธไม่สามารถสร้างสังคมพุทธที่เข้มแข็งได้ ปล่อยให้มีสาวกของต้นไม้บ้าง สาวกของต้นเห็ดบ้าง อยู่เต็มประเทศ
บ างทีผมว่าให้เพื่อนร่วมโลกของเรานำศาสนามาให้เขา โลกก็ยังสงบสุขมากขึ้นดีอยู่ ดีกว่าปล่อยให้นับถือต้นไม้ต้นเห็ดไปเรื่อยๆไม่มีสาระอะไร เป็นภัยต่อตนเองและผู้อื่นยิ่งกว่าด้วยซ้ำ
วันพุธ, พฤศจิกายน 03, 2547
วันเสาร์, กันยายน 18, 2547
ผู้โชคดี?
เมื่อไม่นานมานี้ สังเกตเห็นเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่เว็บหนึ่ง ลงโฆษณา Lotto Greencard ซึ่งเราก็พอทราบๆมาว่ามันมีโปรแกรม Affiliate อยู่ นัยว่าถ้ามีคนสมัคร หรือถ้ามีคนได้เป็นประชากรของเขาจริงๆ คนลงโฆษณาก็คงได้เปอร์เซนต์
เพียงเท่านั้นก็หงุดหงิดหัวใจไม่ใช่น้อยแล้ว ประเทศเราไม่ใช่ประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม ไม่ใช่ประเทศที่ยากแค้น มีเหตุอันใดที่ประชากรที่มีคุณภาพของเราต้องไปเป็นประชากรของประเทศอื่น? อย่าว่าแต่คนที่มีสิทธิ์จะเล่น Lotto อย่างนี้ได้ ก็เป็น คนชั้นบนๆของโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้ดูดทรัพยากรและโอกาสไปจากคนอื่นๆที่ด้อยกว่า
ไปจนตัวเองได้ยืนอยู่ตรงนี้มีความสุขอยู่ตรงนี้ แล้วก็เลือกที่จะไม่ใช้โอกาสที่ได้รับมานั้น แก้ปัญหาให้คนไทยด้วยกัน แต่จะใช้ต้นทุนเหล่านั้นเป็นฐานให้ตัวเองเป็นผู้มีสิทธิ์เป็นประชากรของประเทศอื่น!!
ฟิวส์ขาดก็ตอนที่เข้าไปในเว็บท่าแห่งหนึ่ง มีแบนเนอร์ขึ้นหราว่า คนที่ได้สิทธิ์เหล่านั้น เป็นผู้โชคดี!!??
เอ...หรือว่าผู้ไม่ได้สิทธิ์เป็นประชากรของประเทศนั้นเป็นผู้โชคร้ายหรืออย่างไร?
ใช่สินะ โชคร้ายที่โอกาสที่แบ่งกันไปนั้น ไม่ได้กลับคืนสู่สังคมเรา แต่จะไปเป็นทุน (ที่เขาไม่ได้ลง) ของสังคมอื่น น่าเศร้านัก
เพียงเท่านั้นก็หงุดหงิดหัวใจไม่ใช่น้อยแล้ว ประเทศเราไม่ใช่ประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม ไม่ใช่ประเทศที่ยากแค้น มีเหตุอันใดที่ประชากรที่มีคุณภาพของเราต้องไปเป็นประชากรของประเทศอื่น? อย่าว่าแต่คนที่มีสิทธิ์จะเล่น Lotto อย่างนี้ได้ ก็เป็น คนชั้นบนๆของโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้ดูดทรัพยากรและโอกาสไปจากคนอื่นๆที่ด้อยกว่า
ไปจนตัวเองได้ยืนอยู่ตรงนี้มีความสุขอยู่ตรงนี้ แล้วก็เลือกที่จะไม่ใช้โอกาสที่ได้รับมานั้น แก้ปัญหาให้คนไทยด้วยกัน แต่จะใช้ต้นทุนเหล่านั้นเป็นฐานให้ตัวเองเป็นผู้มีสิทธิ์เป็นประชากรของประเทศอื่น!!
ฟิวส์ขาดก็ตอนที่เข้าไปในเว็บท่าแห่งหนึ่ง มีแบนเนอร์ขึ้นหราว่า คนที่ได้สิทธิ์เหล่านั้น เป็นผู้โชคดี!!??
เอ...หรือว่าผู้ไม่ได้สิทธิ์เป็นประชากรของประเทศนั้นเป็นผู้โชคร้ายหรืออย่างไร?
ใช่สินะ โชคร้ายที่โอกาสที่แบ่งกันไปนั้น ไม่ได้กลับคืนสู่สังคมเรา แต่จะไปเป็นทุน (ที่เขาไม่ได้ลง) ของสังคมอื่น น่าเศร้านัก
วันศุกร์, กรกฎาคม 16, 2547
ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ
ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ ได้ยินมาจากไหนไม่รู้
เคยบันทึกลงบันทึกประจำวันออนไลน์ไว้ แต่ไอ้บันทึกนั้นเดี้ยงไปแล้ว
ประมาณว่าที่เต็ม หรือเขาจะไม่ให้ฟรี หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ
ไม่ใช่ประเด็น
เรื่องของเรื่องคือ มีอยู่คืนหนึ่งตั้งใจจะนึกประโยคนี้ แต่มันนึกไม่ออก
พอนึกออกเลยต้องบันทึกไว้อีกที
คราวนี้คงไม่หายเพราะว่าจะเอาไปลงในเว็บส่วนตัวด้วยอีกทางหนึ่ง
ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ ทำให้คิดไม่ยอมแพ้ หรือเลยตามเลย ให้ต่อสู้ให้ถึงที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม มีแต่ปลาตายเท่านั้นที่ไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ
แล้วแต่ว่ากระแสน้ำจะพัดไปไหน
ว่ายทวนน้ำไปแล้วจะดีจะชั่ว มันก็ตัวเราเอง
เมื่อถึงที่สุดแล้วอย่างน้อยก็ไม่ต้องไปโทษฟ้าโทษดินแล้วมานั่งเสียใจว่า
รู้งี้สู้ให้ถึงที่สุดดีกว่า อะไรทำนองนั้น
เคยบันทึกลงบันทึกประจำวันออนไลน์ไว้ แต่ไอ้บันทึกนั้นเดี้ยงไปแล้ว
ประมาณว่าที่เต็ม หรือเขาจะไม่ให้ฟรี หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ
ไม่ใช่ประเด็น
เรื่องของเรื่องคือ มีอยู่คืนหนึ่งตั้งใจจะนึกประโยคนี้ แต่มันนึกไม่ออก
พอนึกออกเลยต้องบันทึกไว้อีกที
คราวนี้คงไม่หายเพราะว่าจะเอาไปลงในเว็บส่วนตัวด้วยอีกทางหนึ่ง
ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ ทำให้คิดไม่ยอมแพ้ หรือเลยตามเลย ให้ต่อสู้ให้ถึงที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม มีแต่ปลาตายเท่านั้นที่ไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ
แล้วแต่ว่ากระแสน้ำจะพัดไปไหน
ว่ายทวนน้ำไปแล้วจะดีจะชั่ว มันก็ตัวเราเอง
เมื่อถึงที่สุดแล้วอย่างน้อยก็ไม่ต้องไปโทษฟ้าโทษดินแล้วมานั่งเสียใจว่า
รู้งี้สู้ให้ถึงที่สุดดีกว่า อะไรทำนองนั้น
วันพุธ, กรกฎาคม 07, 2547
สิทธิของคนอื่น
กรณีคดีหมิ่นประมาททางอินเตอร์เนต (นายมือกลองฯ) ที่เป็นข่าวอยู่นี้ ใครผิดใครถูกผู้เขียนขอละไว้ เนื่องจากไม่ทราบละเอียดว่าผู้ต้องหาทำอะไร ไม่ได้ทำอะไร ภาพที่เป็นต้นเหตุก็ไม่เห็น
แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่โต จึงอยากถือโอกาสนี้ กล่าวถึงบางสิ่งบางอย่างที่ถูกละเลยเสมอๆ ในโลกไซเบอร์ของเรานี้ หากปล่อยปละไป อาจะสร้างความเห็นผิดให้แก่ประชากรชาวเนตต่อไปได้
สิ่งที่ถูกละเลยเสมอๆนั้นคือ สิทธิส่วนบุคคลของบุคคลอื่น ผ่านการกระทำอย่างน้อย สามรูปแบบนั่นคือ
๑. การเผยแพร่ภาพแอบถ่าย(เปลือย หรือ ร่วมเพศ) ของบุคคลที่แม้แต่คนเผยแพร่ก็ไม่รู้จัก ด้วยเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน
กรณีนี้เรียกว่าทั้งผู้บันทึกภาพและผู้ที่ส่งภาพต่อๆกันไป ขาดความรับผิดชอบอย่างถึงที่สุด เพราะตนเองก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าบุคคลในภาพนั้นยินดีที่จะถูกบันทึกภาพหรือไม่ และยินดีจะให้เผยแพร่ภาพหรือไม่ และไม่แคร์! ว่าเขาจะยินดีหรือไม่!! เสมือนว่าบุคคลในรูปไม่ใช่คน ที่มีเลือดเนื้อและหัวใจ ที่จะรู้สึกเจ็บปวด อับอาย ได้กระนั้น
๒. จดหมายลูกโซ่เนื้อความใส่ร้ายป้ายสี บุคคล หรือร้านค้า เช่นคนๆนี้ขี้โกง ร้านนี้โก่งราคา
คนๆนี้ขี้หลี หนุ่มคนนี้ฟันสาวคนนั้นแล้วทิ้ง สาวคนนั้นฟันหนุ่มคนนี้แล้วทิ้ง คนนี้ชอบแย่งแฟนชาวบ้าน ฯลฯ
คนเขียนนั้น ถ้าเขียนจากความจริง โดยประสบการณ์ตรง มันก็ไม่ผิด แต่คนส่งต่อๆกันไปนั้น
ทราบได้อย่างไร ว่าเรื่องที่มาถึงตัวนั้น จริง หรือ ไม่จริง? หรือว่าไม่แคร์
ไม่สนใจสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาแม้แต่น้อย? ส่งต่อๆไปโดยไม่สนแม้แต่น้อยว่าจริงหรือไม่ ถ้าไม่จริง ก็ให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหาซวยไปอย่างนั้นหรือ?
เคยมีรุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่ง แย้งว่า ถ้าคนๆนั้นไม่ได้ทำ ก็น่าจะอยู่เฉยๆ เรื่องไม่จริงจะเดือดร้อนไปทำไม ผมก็แย้งไปว่า ถ้ามีคนส่งเมล์ส่งต่อว่าร้ายพี่ ว่าพี่เป็นคนเจ้าชู้ ไปปู้ยี่ปู้ยำเธอแล้วทิ้ง แล้วส่งต่อๆกันไปเพื่อเตือนกันว่าอย่าเข้าใกล้พี่ ตัวเธอเองจะอยู่เฉยไหวหรือ? ก็เห็นนิ่งไป ไม่ว่าอะไร
๓. บางเรื่องก็ถือเป็นเรื่องดีๆ แต่ส่งต่อๆไปแล้ว ไม่ใส่ชื่อผู้แต่งไปด้วย ที่ร้ายกว่านั้น บางคนก็สมอ้างว่าตนเองเขียนขึ้นเอง บางครั้งด้วยความด้อยปัญญา ทำให้ไปรับสมอ้างคำของเผด็จการมาบ้าง ก็มี รับสมอ้างคำของปูชณียบุคคลซึ่งทุกคนทราบว่าคำนี้เป็นของใคร แต่คนส่งข้อความต่อไม่ทราบก็มี อย่างนี้เห็นแล้วก็สังเวช สมเพช และเศร้าใจครับ
จากที่คุยมา เด็กๆหลายคน ไม่ทราบจริงๆ ครับว่า
บางคนพยายามยึดบรรทัดฐานจากโลกจริงๆเข้าไปใช้ บางคนยึดบรรทัดฐานจากเมืองนอก (ซึ่งจริงๆมันก็ยังพัฒนาไม่ถึงที่สุด ไม่รู้ว่าทำไมต้องตามฝรั่งเสมอๆ โดยไม่แยกแยะถูกผิด) ผมคิดว่าน่าจะมีการร่วมมือกันหลายๆฝ่ายทำอะไรสักอย่าง เพื่อสร้างจารีตอันดีงามในโลกไซเบอร์ให้ได้
แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่โต จึงอยากถือโอกาสนี้ กล่าวถึงบางสิ่งบางอย่างที่ถูกละเลยเสมอๆ ในโลกไซเบอร์ของเรานี้ หากปล่อยปละไป อาจะสร้างความเห็นผิดให้แก่ประชากรชาวเนตต่อไปได้
สิ่งที่ถูกละเลยเสมอๆนั้นคือ สิทธิส่วนบุคคลของบุคคลอื่น ผ่านการกระทำอย่างน้อย สามรูปแบบนั่นคือ
๑. การเผยแพร่ภาพแอบถ่าย(เปลือย หรือ ร่วมเพศ) ของบุคคลที่แม้แต่คนเผยแพร่ก็ไม่รู้จัก ด้วยเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน
กรณีนี้เรียกว่าทั้งผู้บันทึกภาพและผู้ที่ส่งภาพต่อๆกันไป ขาดความรับผิดชอบอย่างถึงที่สุด เพราะตนเองก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าบุคคลในภาพนั้นยินดีที่จะถูกบันทึกภาพหรือไม่ และยินดีจะให้เผยแพร่ภาพหรือไม่ และไม่แคร์! ว่าเขาจะยินดีหรือไม่!! เสมือนว่าบุคคลในรูปไม่ใช่คน ที่มีเลือดเนื้อและหัวใจ ที่จะรู้สึกเจ็บปวด อับอาย ได้กระนั้น
๒. จดหมายลูกโซ่เนื้อความใส่ร้ายป้ายสี บุคคล หรือร้านค้า เช่นคนๆนี้ขี้โกง ร้านนี้โก่งราคา
คนๆนี้ขี้หลี หนุ่มคนนี้ฟันสาวคนนั้นแล้วทิ้ง สาวคนนั้นฟันหนุ่มคนนี้แล้วทิ้ง คนนี้ชอบแย่งแฟนชาวบ้าน ฯลฯ
คนเขียนนั้น ถ้าเขียนจากความจริง โดยประสบการณ์ตรง มันก็ไม่ผิด แต่คนส่งต่อๆกันไปนั้น
ทราบได้อย่างไร ว่าเรื่องที่มาถึงตัวนั้น จริง หรือ ไม่จริง? หรือว่าไม่แคร์
ไม่สนใจสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาแม้แต่น้อย? ส่งต่อๆไปโดยไม่สนแม้แต่น้อยว่าจริงหรือไม่ ถ้าไม่จริง ก็ให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหาซวยไปอย่างนั้นหรือ?
เคยมีรุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่ง แย้งว่า ถ้าคนๆนั้นไม่ได้ทำ ก็น่าจะอยู่เฉยๆ เรื่องไม่จริงจะเดือดร้อนไปทำไม ผมก็แย้งไปว่า ถ้ามีคนส่งเมล์ส่งต่อว่าร้ายพี่ ว่าพี่เป็นคนเจ้าชู้ ไปปู้ยี่ปู้ยำเธอแล้วทิ้ง แล้วส่งต่อๆกันไปเพื่อเตือนกันว่าอย่าเข้าใกล้พี่ ตัวเธอเองจะอยู่เฉยไหวหรือ? ก็เห็นนิ่งไป ไม่ว่าอะไร
๓. บางเรื่องก็ถือเป็นเรื่องดีๆ แต่ส่งต่อๆไปแล้ว ไม่ใส่ชื่อผู้แต่งไปด้วย ที่ร้ายกว่านั้น บางคนก็สมอ้างว่าตนเองเขียนขึ้นเอง บางครั้งด้วยความด้อยปัญญา ทำให้ไปรับสมอ้างคำของเผด็จการมาบ้าง ก็มี รับสมอ้างคำของปูชณียบุคคลซึ่งทุกคนทราบว่าคำนี้เป็นของใคร แต่คนส่งข้อความต่อไม่ทราบก็มี อย่างนี้เห็นแล้วก็สังเวช สมเพช และเศร้าใจครับ
จากที่คุยมา เด็กๆหลายคน ไม่ทราบจริงๆ ครับว่า
- การที่ส่งข้อความว่าร้าย นาย ก. ว่าเลวเช่นนั้นเช่นนี้ต่อๆไปให้เพื่อน โดยที่ตัวเองไม่ทราบข้อเท็จจริงนั้น ละเมิดสิทธิของนาย ก. อย่างยิ่ง
- ไม่เช้าใจว่าการชมภาพเปลือยแอบถ่าย มันวิปริตยิ่งกว่าการชมภาพเปลือยธรรมดา เป็นร้อยเป็นพันเท่า ไม่รู้จะตกใจบ้างหรือเปล่าถ้าดูๆไปกำลังเพลินๆ ไปเจอรูป ลูกสาว หลานสาว พี่สาว น้องสาว ของตัวเองเข้า (บางคนถ้ามันวิปริตมากอาจจะเพลินต่อ? ด้วยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา!!??)
- ไม่เข้าใจว่าการส่งข้อความ บทความ ซึ่งมีผู้เขียนไว้ต่อไป โดยไม่ใส่ชื่อผู้แต่ง มันเสียมารยาท อย่าว่าแต่ผิดกฏหมายลิขสิทธิ์
บางคนพยายามยึดบรรทัดฐานจากโลกจริงๆเข้าไปใช้ บางคนยึดบรรทัดฐานจากเมืองนอก (ซึ่งจริงๆมันก็ยังพัฒนาไม่ถึงที่สุด ไม่รู้ว่าทำไมต้องตามฝรั่งเสมอๆ โดยไม่แยกแยะถูกผิด) ผมคิดว่าน่าจะมีการร่วมมือกันหลายๆฝ่ายทำอะไรสักอย่าง เพื่อสร้างจารีตอันดีงามในโลกไซเบอร์ให้ได้
วันศุกร์, กรกฎาคม 02, 2547
เราเป็นพุทธศาสนิกชนจริงๆหรือ?
เมื่อหลายวันก่อน ได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่อง The Passion of the Christ หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ชม Musical เรื่อง Jesus Christ Superstar เมื่อได้ชมก็เกิดคำถามบ้าง
คำถามหนึ่งคือ ทำไม Jesus จึงปรารถว่าพระเจ้าทอดทิ้งพระองค์? ในชณะที่ Jesus ถูกตรึงกางเขนอยู่
เราก็เก็บคำถามนี้ไปถามเพื่อนๆระหว่างทานอาหารกลางวัน ก็ปรากฏว่ามีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เขาเข้าโบสถ์ทุกอาทิตย์
และคิดว่าเขาจะตอบได้ จึงคุยกัน
ก็เห็นว่าเขารู้เรื่องศาสนาของเขาดี ตอบคำถามได้ฉะฉานนัก แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจกระจ่าง
เขาจึงเสนอ DVD Discussion เกี่ยวกับปัญหานี้ให้ผมยืม
เมื่อได้ชมจึงเข้าใจว่า ทำไมพระทุทธศาสนา จึงมีคนนับถือน้อยลง ไม่กว้างขวางดังศาสนาคริสต์เขา
ก็เพราะเราขาดคนที่เอาธุระในเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นภาระของพระในวัดแต่ถ่ายเดียว
แม้เรามีนักเรียนพูดภาษาฝรั่งได้มาก ก็กลับมีนักเรียนที่เข้าใจศาสนาตัวเองอย่างลึกซึ้งน้อย
และนักเรียนที่อาจจะเข้าใจศาสนาตัวเองอย่างลึกซึ้งนั้น ก็หาตัวพูดภาษาฝรั่งยาก
ไม่ทราบเหมือนกันว่า ถ้าหากมีอาจารย์ฝรั่ง นักเรียนฝรั่ง ถามนักเรียนไทยในต่างประเทศ
ว่าด้วยเรื่องของศาสนาพุทธ คนของเราซึ่งจบชั้นสูงๆ ขั้นต่ำปริญญาตรีได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต
แล้วนั้น จะตอบเขาว่าอย่างไร
คำถามหนึ่งคือ ทำไม Jesus จึงปรารถว่าพระเจ้าทอดทิ้งพระองค์? ในชณะที่ Jesus ถูกตรึงกางเขนอยู่
เราก็เก็บคำถามนี้ไปถามเพื่อนๆระหว่างทานอาหารกลางวัน ก็ปรากฏว่ามีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เขาเข้าโบสถ์ทุกอาทิตย์
และคิดว่าเขาจะตอบได้ จึงคุยกัน
ก็เห็นว่าเขารู้เรื่องศาสนาของเขาดี ตอบคำถามได้ฉะฉานนัก แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจกระจ่าง
เขาจึงเสนอ DVD Discussion เกี่ยวกับปัญหานี้ให้ผมยืม
เมื่อได้ชมจึงเข้าใจว่า ทำไมพระทุทธศาสนา จึงมีคนนับถือน้อยลง ไม่กว้างขวางดังศาสนาคริสต์เขา
ก็เพราะเราขาดคนที่เอาธุระในเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นภาระของพระในวัดแต่ถ่ายเดียว
แม้เรามีนักเรียนพูดภาษาฝรั่งได้มาก ก็กลับมีนักเรียนที่เข้าใจศาสนาตัวเองอย่างลึกซึ้งน้อย
และนักเรียนที่อาจจะเข้าใจศาสนาตัวเองอย่างลึกซึ้งนั้น ก็หาตัวพูดภาษาฝรั่งยาก
ไม่ทราบเหมือนกันว่า ถ้าหากมีอาจารย์ฝรั่ง นักเรียนฝรั่ง ถามนักเรียนไทยในต่างประเทศ
ว่าด้วยเรื่องของศาสนาพุทธ คนของเราซึ่งจบชั้นสูงๆ ขั้นต่ำปริญญาตรีได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต
แล้วนั้น จะตอบเขาว่าอย่างไร
วันศุกร์, มิถุนายน 18, 2547
คุณภาพประชากร
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีโอกาสรับรู้ข่าวไม่ดีหลายๆเรื่องเกี่ยวกับอนาคตที่มืดมนของระบบการศึกษาไทย
ข่าวแรก ผลการสำรวจระบุว่า ประชากรไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ ๘ บรรทัด!
ข่าวที่สอง ผลการสำรวจระบุว่า เด็กและเยาวชนไทยอย่างน้อย ๖๖ เปอร์เซนต์มีไอคิวต่ำกว่าระดับมาตรฐาน!!
ข่าวที่สาม สกู๊ปข่าวหนังสือพิมพ์เปิดเผยว่า มีการว่าจ้างทำวิทยานิพนธ์ให้นักศึกษาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คนจ้างอ้างว่าไม่มีเวลา คนรับจ้างอ้างเรื่องเงิน!!!
เกี่ยวกับข่าวแรก เมื่อลองเอาไปคุยกับเพื่อนๆ ผลกลับปรากฏว่า เพื่อนๆคิดว่า ไม่อ่านแล้วไง? คนเราชอบไม่เหมือนกัน
เราก็งง เพราะไม่ว่าจะชอบอะไร ถ้าจะเอาดีมันก็ต้องอ่านหนังสือทั้งนั้น ไม่อ่านก็แสดงว่าเอาแต่ทำเล่นๆ ไม่ได้ทำจริงๆ
เมื่อไม่ได้ทำจริงๆ ฝีมือจริงๆมันก็ไม่มี แล้วมันจะเจริญก้าวหน้าพัฒนาตามคนอื่นเขาทันได้ยังไง?
เกี่ยวกับข่าวที่สอง บางคนแก้ตัวแทนกันว่า ระบบวัดไอคิวเป็นของฝรั่ง ใช้วัดเด็กไทยไม่ได้! ผมว่าไม่เกี่ยว เพราะเดี๋ยวนี้
มันมีความพยายามที่จะลดผลกระทบอันเกิดจากวัฒนธรรมที่แตกต่างออกจากแบบทดสอบแล้ว ถึงไม่แม่นยำมันก็ใกล้เคียง
ปัญหาคือเด็กของเราไม่รู้จักคิดมากกว่า ซึ่งมันควรจะมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ข่าวที่สาม เป็นเรื่องที่เศร้าโศกสลดที่สุดในวงการศึกษาในสายตาผม เพราะคนระดับนี้ควรมีสามัญสำนึกในการแยกแยะ
ถูกผิด ชั่วดี ได้แล้ว ควรมีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่กระทำการอะไรที่มันน่าอดสูอย่างนั้น พูดไม่ออกจริงๆ
การเรียน การศึกษา มันไม่ใช่แค่โรงเรียน ไม่ใช่แค่ห้องเรียน มันหมายถึงจิตวิญญาณแห่งการเรียนรู้
ซึ่งชาติพันธุ์ไหนต้องการพัฒนาตนเอง ก็ต้องมีจิตวิญญาณแห่งการเรียนรู้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะทำอะไก็เรียนรู้ได้
นี่หนังสือก็ไม่อ่าน คิดก็ไม่คิด การบ้านก็ไม่ทำ สอบก็ลอก ก็โกง วิทยานิพนธ์ยังต้องจ้างคนอื่นทำ
นึกไม่ออกจริงๆว่าเมืองไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร จะโทษใครดีถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง?
ข่าวแรก ผลการสำรวจระบุว่า ประชากรไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ ๘ บรรทัด!
ข่าวที่สอง ผลการสำรวจระบุว่า เด็กและเยาวชนไทยอย่างน้อย ๖๖ เปอร์เซนต์มีไอคิวต่ำกว่าระดับมาตรฐาน!!
ข่าวที่สาม สกู๊ปข่าวหนังสือพิมพ์เปิดเผยว่า มีการว่าจ้างทำวิทยานิพนธ์ให้นักศึกษาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คนจ้างอ้างว่าไม่มีเวลา คนรับจ้างอ้างเรื่องเงิน!!!
เกี่ยวกับข่าวแรก เมื่อลองเอาไปคุยกับเพื่อนๆ ผลกลับปรากฏว่า เพื่อนๆคิดว่า ไม่อ่านแล้วไง? คนเราชอบไม่เหมือนกัน
เราก็งง เพราะไม่ว่าจะชอบอะไร ถ้าจะเอาดีมันก็ต้องอ่านหนังสือทั้งนั้น ไม่อ่านก็แสดงว่าเอาแต่ทำเล่นๆ ไม่ได้ทำจริงๆ
เมื่อไม่ได้ทำจริงๆ ฝีมือจริงๆมันก็ไม่มี แล้วมันจะเจริญก้าวหน้าพัฒนาตามคนอื่นเขาทันได้ยังไง?
เกี่ยวกับข่าวที่สอง บางคนแก้ตัวแทนกันว่า ระบบวัดไอคิวเป็นของฝรั่ง ใช้วัดเด็กไทยไม่ได้! ผมว่าไม่เกี่ยว เพราะเดี๋ยวนี้
มันมีความพยายามที่จะลดผลกระทบอันเกิดจากวัฒนธรรมที่แตกต่างออกจากแบบทดสอบแล้ว ถึงไม่แม่นยำมันก็ใกล้เคียง
ปัญหาคือเด็กของเราไม่รู้จักคิดมากกว่า ซึ่งมันควรจะมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ข่าวที่สาม เป็นเรื่องที่เศร้าโศกสลดที่สุดในวงการศึกษาในสายตาผม เพราะคนระดับนี้ควรมีสามัญสำนึกในการแยกแยะ
ถูกผิด ชั่วดี ได้แล้ว ควรมีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่กระทำการอะไรที่มันน่าอดสูอย่างนั้น พูดไม่ออกจริงๆ
การเรียน การศึกษา มันไม่ใช่แค่โรงเรียน ไม่ใช่แค่ห้องเรียน มันหมายถึงจิตวิญญาณแห่งการเรียนรู้
ซึ่งชาติพันธุ์ไหนต้องการพัฒนาตนเอง ก็ต้องมีจิตวิญญาณแห่งการเรียนรู้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะทำอะไก็เรียนรู้ได้
นี่หนังสือก็ไม่อ่าน คิดก็ไม่คิด การบ้านก็ไม่ทำ สอบก็ลอก ก็โกง วิทยานิพนธ์ยังต้องจ้างคนอื่นทำ
นึกไม่ออกจริงๆว่าเมืองไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร จะโทษใครดีถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง?
วันเสาร์, มิถุนายน 05, 2547
You wanna be where everybody knows your name
Lyric from Cheers:
I have been living here for five years. The first 2 years were fine. I had at least one close friend by then. And there were classes so I had got some classmate.
Eventually, we all graduated and everyone went their ways. I decided to work here, in the same place. Perhaps it was a bad choice. It was the begining of the lonely three years, here. The neture of work does not give me much chance to make friend with colleges.
Not that they are bad colleges. They are very good, and very kind. But they work in groups (by the job), and I work alone (by the job). Those who work in the same group become close friends.
But I am not in any group.
Sometime it hurts to be left behind. It happens often when I am not in any group.
Making your way in the world today takes everything you've got.
Taking a break from all your worries, sure would help a lot.
Wouldn't you like to get away?
Sometimes you want to go, where everybody knows your name,
and they're always glad you came.
You wanna be where you can see, our troubles are all the same
You wanna be where everybody knows your name.
You wanna go where people know, people are all the same,
You wanna go where everybody knows your name.
You want to go where people know, people are all the same;
You want to go where everybody knows your name.
I have been living here for five years. The first 2 years were fine. I had at least one close friend by then. And there were classes so I had got some classmate.
Eventually, we all graduated and everyone went their ways. I decided to work here, in the same place. Perhaps it was a bad choice. It was the begining of the lonely three years, here. The neture of work does not give me much chance to make friend with colleges.
Not that they are bad colleges. They are very good, and very kind. But they work in groups (by the job), and I work alone (by the job). Those who work in the same group become close friends.
But I am not in any group.
Sometime it hurts to be left behind. It happens often when I am not in any group.
I want to be where everybody knows my name...
วันจันทร์, พฤษภาคม 31, 2547
Quality of citizen
I was stunned learning that my friends do not know how to raise their child properly. Not that I love to interfere their domestic business, but the kid is my godson and I must care.
I think (based on my own eyes) that only a small proportion of Thai citizens recognize its importance. Everything including foods you fed, reaction you responded to the kid in different situations, reply you gave when the kid asked, all these could effect the kid's life very soon.
In the old days, the Thai families are large scale families. The kids lived with parents, grand-parents, uncles, and aunts and their kids. This kind of setup allow the parents to learn from the experienced ones (e.g. the grand-parents).
In the present, this kind of environment ceases to exist. Much smaller scale of family has become the norm. Unfortunately, the science of raising a child has not been widely (enough) recognized. The tendency that the kids might be too fat, too thin, too much of one thing or another, physically and/or mentally, by age of three is increasing.
I heard the news from BBC, saying that the kid who eat alone in front of his TV will not have a chance to learn good table manners and have less social skill. The same news reporter says that with all chemical ingredients in snacks and sweets, the kid may have a higher chance of being too fat, too naughty (hyperactive?) and could effect his/her learning efficiency in the school ages. It seems that not many parents I know do care about this.
I think this may be a nation crisis. The kid who may have too much snack today may be a non-healthy citizen tomorrow. The kid who may never get enough attention from their parents properly today may be aggressive tomorrow. If Thailand want to develop herself, the first investment she shall spend is to educate the parents well, heavily. I have seen many changes in the school curriculums over years and in my opinion it is getting worse and worse. It may be a better idea to educate every fathers and mothers on how to raise a kid.
If the raw material is low quality, no matter how good the system is, it will be very difficult to create a good output.
I think (based on my own eyes) that only a small proportion of Thai citizens recognize its importance. Everything including foods you fed, reaction you responded to the kid in different situations, reply you gave when the kid asked, all these could effect the kid's life very soon.
In the old days, the Thai families are large scale families. The kids lived with parents, grand-parents, uncles, and aunts and their kids. This kind of setup allow the parents to learn from the experienced ones (e.g. the grand-parents).
In the present, this kind of environment ceases to exist. Much smaller scale of family has become the norm. Unfortunately, the science of raising a child has not been widely (enough) recognized. The tendency that the kids might be too fat, too thin, too much of one thing or another, physically and/or mentally, by age of three is increasing.
I heard the news from BBC, saying that the kid who eat alone in front of his TV will not have a chance to learn good table manners and have less social skill. The same news reporter says that with all chemical ingredients in snacks and sweets, the kid may have a higher chance of being too fat, too naughty (hyperactive?) and could effect his/her learning efficiency in the school ages. It seems that not many parents I know do care about this.
I think this may be a nation crisis. The kid who may have too much snack today may be a non-healthy citizen tomorrow. The kid who may never get enough attention from their parents properly today may be aggressive tomorrow. If Thailand want to develop herself, the first investment she shall spend is to educate the parents well, heavily. I have seen many changes in the school curriculums over years and in my opinion it is getting worse and worse. It may be a better idea to educate every fathers and mothers on how to raise a kid.
If the raw material is low quality, no matter how good the system is, it will be very difficult to create a good output.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)