tag:blogger.com,1999:blog-71649822024-03-07T11:17:24.158+07:00Thoughtsบันทึกความคิดเพื่อระบายความเครียดjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.comBlogger74125tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-77810058907719038452017-01-08T18:04:00.003+07:002017-01-08T18:04:48.283+07:00หนังสือ - เทคนิคสรุปทุกอย่างลงในกระดาษแผ่นเดียว<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiA629VuYjMkkGnMgJQ8Co_I_wVKjbfkvzKwzNzKXvQzn3lfyg8hwkR77u-up8m6ZVaziG_-mf32PBPDoYme4PEtbqWKyOpYfMDS-CX6CHix1cjjj7WUm4_7zg86TSUV1FToaPt/s1600/IMG_20161024_145118.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiA629VuYjMkkGnMgJQ8Co_I_wVKjbfkvzKwzNzKXvQzn3lfyg8hwkR77u-up8m6ZVaziG_-mf32PBPDoYme4PEtbqWKyOpYfMDS-CX6CHix1cjjj7WUm4_7zg86TSUV1FToaPt/s320/IMG_20161024_145118.jpg" width="216" /></a></div>
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา (ตุลาคม 2559) ได้อ่านหนังสือ เทคนิคการสรุปทุกอย่างลงใน [กระดาษแผ่นเดียว] ที่ฉันได้เรียนรู้มาจากโตโยต้า เขียนโดย อะซะดะ ซุงุรุ แปลโดย ภาณุพันธ์ ปัญญาใจ สำนักพิมพ์วีเลิร์ณ<br />
<br />
<span id="goog_924170770"></span>เมื่อทดลองทำตามวิธีการที่นำเสนอในหนังสือ โดยผมได้ทดลองให้คำแนะนำนักศึกษาให้นำเสนองานแก่ผมโดยใช้เทคนิคกระดาษแผ่นเดียว ก็พบว่าใช้การได้ดี<br />
<br />
จุดที่เตะตาผมอย่างหนึ่งก็คือ เขาเน้นให้เขียนกระดาษที่ว่านี้ด้วยมือ ไม่ใช่ด้วยคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนหรืออุปกรณ์ไฮเทคอื่น ๆ ผมคล้อยตาม แต่ก็สงสัยว่าทำไม หนังสือเองก็ให้เหตุผลไว้สั้น ๆ ว่าถ้ายังไม่ชินก็ควรเขียนด้วยมือไปก่อน และมันช่วยให้สมองทำงานอย่างเป็นระบบ แต่ก็ไม่อธิบายเพิ่มว่าทำไม<br />
<br />
ที่คล้อยตามเพราะผมสังเกตตนเองพบว่าถ้านั่งหน้าคอมพิวเตอร์ มักจะได้งานสร้างสรรค์น้อย ได้งานธุรการเยอะ แต่ถ้านั่งหน้าโต๊ะทำงานพร้อมกระดาษปากกาในมือ จะได้งานสร้างสรรค์เยอะ แต่ก็ทำงานธุรการได้น้อย คิดว่าเครื่องมือที่อยู่ตรงหน้ามีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้สมองทำงานคนละส่วนกัน<br />
<br />
อีกจุดหนึ่งที่นำมาใช้ประโยชน์นอกเหนือจากการนำเสนอคือใช้เรียบเรียงความคิดครับ บางวันมีงานต้องทำมาก งานเล็กงานน้อยจุกจิกเยอะไปหมด ใช้เทคนิคที่แสดงในหนังสือเล่มนี้ช่วยให้จัดลำดับความสำคัญของงานได้ดีมาก ๆ ที่ยังไม่ได้ลองคือใช้ควบคุมการประชุมได้ด้วย!<br />
<br />
ถ้าจะมีข้อเสีย ก็นับว่าเล็กน้อยคือ ผู้เขียนบรรยายเยิ่นเย้อไปสักหน่อย แต่ถ้ามองว่ามันเป็นหนังสือแนว How-To เขียนละเอียดก็ครอบคลุมผู้อ่านได้ทุกระดับก็พอจะมองข้ามจุดนี้ไปได้ ราคาหนังสือ 175 บาท สำหรับผมที่นำเทคนิคมาใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ ก็ถือว่าเป็นค่าวิชา นับว่าคุ้มครับjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-14284249165940396882016-01-25T18:26:00.000+07:002016-01-25T18:26:09.303+07:00ปีแห่งการฝึกสมาธิปีที่แล้วทั้งปีไม่ได้เขียนบันทึกเลย<br />
<br />
ส่วนหนึ่งคือต้องรับผิดชอบงานประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่งตลกมากเพราะปริมาณงานประกันฯ เยอะและซับซ้อนสับสนจนกระทั่งต้องขอเลื่อนการสอนรายวิชาหนึ่งออกไป 1 ภาคการศึกษา<br />
<br />
พูดสั้น ๆ ว่ามาทำการประกันว่านักศึกษาจะได้รับคุณภาพงานสอนที่ดีจนกระทั่งไม่ได้สอนนั่นแหละ (ฮาไม่ออก)<br />
<br />
บางคนที่เห็นชอบกับงานประกันก็อาจแปลกใจว่ามันไม่น่าจะยากขนาดนั้น อืม...เอางี้นะ สมมติว่ามันไม่ยากจริง ๆ นั่นแหละ แต่ผมไม่เก่งไง แล้วคนเก่ง ๆ เขาก็ไม่มาทำหรอก งานแบบนี้น่ะ เรื่องประกันนี่อยากจะเขียนต่างหากไว้เมื่อความคิดตกตะกอนกว่านี้อีกสักหน่อย<br />
<br />
อีกส่วนหนึ่งคือปีที่แล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558 ได้มีโอกาสไปเป็นนักศึกษาในหลักสูตรครูสมาธิของ<a href="http://www.samathi.com/index.php" target="_blank">สถาบันพลังจิตตานุภาพ</a> <a href="https://www.facebook.com/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E78-%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%99-572855639469872/?fref=ts" target="_blank">สาขา 78 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น</a> ในรุ่นที่ 36 ชื่อรุ่นว่าฉัตติงสโม โชติกาล (ยุคที่รุ่งเรือง)<br />
<br />
สาเหตุที่ทำให้ไปสมัครเรียนก็คือ ผมรู้คุณประโยชน์ของสมาธิมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนตัวน้อย ๆ แล้ว แต่ไม่เคยฝึก ไม่เคยปฏิบัติ นาน ๆ เข้าวัดสักทีก็แค่ทำบุญใส่ซอง ถ้านั่งสมาธิเองก็นั่งแบบงู ๆ ปลา ๆ ไม่มีหลัก ในช่วงชีวิตการทำงานที่ผ่านมาก็ตั้งใจมาตลอดว่าอยากจะไปวัด ไปฝึก ไปเรียน ไปหัดให้มันเป็น มันจะได้รู้ว่าเป็นยังไงและจะได้ไม่รู้สึกเสียชาติเกิดว่าเป็นชาวพุทธทั้งที ทำสมาธิไม่เป็น<br />
<br />
ทุกครั้งที่จะไปวัดก็กลัว กลัวคุยกับพระผิด กลัวจะทำอะไรเปิ่น ๆ กลัวทำผิดแล้วจะบาป บางทีก็ไม่มีเวลา แต่ช่วงต้นปีที่แล้วตอนที่เห็นประกาศรับสมัครของสถาบันนั้น ใจก็คิดเลยว่า<br />
<blockquote class="tr_bq">
"นี่ครูบาอาจารย์เขามาถึงที่แล้ว อำนวยความสะดวกให้ขนาดนี้ ถ้าไม่ไปเรียนอีกต่อไปก็ไม่ต้องพูดแล้วว่าอยากเรียน แต่เรียนไม่ได้เพราะติดนั่นติดนี่"</blockquote>
แม้จะเรียกชื่อหลักสูตรว่าครูสมาธิ แต่คนสำคัญที่สุดที่เราต้องสอนเขาก็คือตัวเอง พูดง่าย ๆ ว่าเรียนไปเพื่อเป็นครูของตัวเองนั่นแหละ สำหรับการเรียนสมาธิที่สาขา 78 จะเป็นการเรียนในวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 18:00 - 20:30 น. ซึ่งเหมาะกับคนทำงานกินเงินเดือนอย่างเรามาก ๆ การเรียนจะใช้เวลาราว 4-5 เดือน<br />
<br />
การเรียนสมาธิใช้เวลาก็จริง แต่เวลาที่เอาไปใช้นั้นเป็นเวลาที่ไม่รบกวนหน้าที่หลักของเราจริง ๆ เท่าไร ไม่ว่าจะเป็นในฐานะลูก ในฐานะสามี ในฐานะอาจารย์ เช่นเวลาที่มาเขียน Blog เวลาทำงานพิเศษ เวลาทำงานอดิเรก เวลาดูหนังซีรีส์ตอนเย็น ซึ่งหายไปก็ไม่เดือดร้อน<br />
<br />
ช่วงที่เรียนอยู่นั้นจึงให้โอกาสตนเองได้ฝึกจิตอย่างเต็มที่<br />
<br />
เมื่อจบหลักสูตรแล้วก็ได้อาสาช่วยงานของสถาบันต่อไปอีกระยะหนึ่ง เท่ากับว่าให้โอกาสตนเองได้ตอบแทนพระคุณครูบาอาจารย์โดยการช่วยงานท่าน ได้ฟังท่านสอนและก็ได้โอกาสฝึกสมาธิเพิ่มเติมไปในตัวด้วย ก็เป็นเหตุให้ไม่ได้บันทึก Blog ไว้เลยทั้งปี<br />
<br />
เรียนแล้วได้อะไร?<br />
<br />
บางคนคิดว่าเรียนสมาธิแล้วต้องกลายเป็นชาววัด ต้องบรรลุธรรม ต้องทิ้งการทิ้งงาน อันที่จริงก็ไม่ใช่ ผมเองเรียนจบแล้วก็ยังเป็นชาวบ้านแค่ใกล้วัดเข้ามาอีกหน่อยเท่านั้น ยังไม่บรรลุธรรมแหง ๆ แต่ทุกครั้งที่ทำสมาธิก็คือว่าได้สร้างปัจจัยที่จะช่วยให้บรรลุธรรมสะสมไว้ (เรียกว่าหยอดกระปุก) ไม่ทิ้งการทิ้งงาน แต่รู้จักบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองดีขึ้น (ทำให้มีทุกข์น้อยลงด้วย)<br />
<br />
ที่ดีที่สุดสำหรับผมก็คือจากคนที่นั่งสมาธิไม่เป็น นั่งไม่ได้ นั่งแล้วจะเหน็บกิน ตอนนี้ก็ไม่กินแล้ว แต่ก่อนนั่งแล้วจะกระสับกระส่ายตอนนี้ก็อยู่นิ่ง ๆ ได้เป็นนานสองนาน ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกว่าการนั่งสมาธิเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งไปแล้ว เป็นสิ่งที่ทำได้ทุกวันเหมือนการกินข้าว การอาบน้ำ การนอนหลับพักผ่อน ไม่ใช่เฉพาะวันที่จะเข้าวัดหรือเฉพาะวันพระเท่านั้น<br />
<br />
ที่สำคัญคือสังเกตได้ว่าจิตใจมั่นคงดีขึ้นพอสมควร แม้เรื่องประกันคุณภาพการศึกษาและเรื่องอื่น ๆ จะรบกวนชีวิตอยู่มากเหมือนเดิม แต่ก็รบกวนจิตใจเราได้น้อยลง ทำให้รู้สึกว่าต้องบ่นน้อยลง รำคาญตัวเองน้อยลง แค่เท่าที่ได้ในปัจจุบันชาตินี้ก็คุ้มแล้ว<br />
<br />
หากท่านใดได้อ่านบันทึกนี้แล้วเกิดความสนใจว่าหลักสูตรครูสมาธิของสถาบันพลังจิตตานุภาพสอนอะไร ขอให้ไปลองเรียนด้วยตนเองจะดีที่สุด เพราะเล่าไปบางคนก็จะคาดหวังไปเปะปะ ความวิเศษของหลักสูตรนี้อยู่ที่ความธรรมดาของมันนั่นแหละ มันไม่มีอะไรพิสดารหรอก แต่มันได้ผล อย่างน้อยก็กับผมและเพื่อนร่วมรุ่นทุกคน<br />
<br />
ถ้าใครจะไปผมก็ขออนุโมทนาด้วยครับ - สวัสดีjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-73005625026153827722014-02-19T08:46:00.003+07:002015-07-31T16:04:41.356+07:00ความชั่วร้ายทั้งหลายล้วนมีรากฐานจากความไม่รับผิดชอบผมสอนหนังสือมาเกือบจะสิบปีแล้ว เท่าที่สอนมาก็ไม่เคยพบว่ามีนักศึกษาคนใดโง่ แม้ผลการเรียนจะแตกต่างกันไปตั้งแต่ A ยัน F แต่คนที่ได้ F ก็ไม่ใช่คนโง่<br />
<br />
การได้ F อาจมีเหตุปัจจัยได้หลายเหตุ แต่เหตุหนึ่งที่มักจะละเลยกันก็คือการขาดความรับผิดชอบต่อตนเอง บางคนได้ F เพราะไม่เข้าเรียนก็เลยหมดสิทธิ์สอบ บางคนได้ F เพราะไม่ได้มาสอบ ลืมวันสอบ บางคนได้ F เพราะไม่ทำการบ้านด้วยตนเอง (ข้อสอบมันก็มาจากการบ้านนั่นแหละ)<br />
<br />
================================================ <br />
<br />
ในอีกทางหนึ่ง ในชีวิตผมเองก็ไม่เคยพบปะกับคนที่เลวจากกมลสันดาน หมายถึงเลวแบบไม่มีเหตุผล ทุกคนก็ล้วนต้องคิดว่าตนเองเป็นคนดีกันทั้งนั้น เป็นเรื่องปกติจริง ๆ ที่ทุก ๆ คนจะคิดว่าตนเองเป็นคนดี คำถามมีอยู่ว่าถ้าทุกคนคิดว่าตนเองเป็นคนดีแล้ว คนเลวอยู่ที่ไหนกัน? ความขัดแย้งเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน? คนเราจะทะเลาะไปทำไมกัน?<br />
<br />
หลังจากที่อยู่ระหว่างความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงของคนในสังคมมาได้สักพัก ได้เห็น ได้อ่าน ได้ทำความเข้าใจความคิดของเพื่อนหลาย ๆ สี ก็เกิดการตกผลึกทางความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า<br />
<br />
เอาเข้าจริงแล้ว คนเลวทั้งหลายอาจจะไม่มีอยู่จริงหรอก มีก็เพียงคนที่รับผิดชอบ กับคนที่ไม่รับผิดชอบเท่านั้น เพราะความ (ต้อง) รับผิดชอบต่อการกระทำใด ๆ ของตน ก็จะทำให้เกิดความอายในสิ่งที่ทำถ้ามีคนรู้ว่าเรา ก็จะทำให้เกิดความกลัวต่อโทษเนื่องจากสิ่งที่เราทำ เรียกว่าทำให้เกิดหิริโอตัปปะ<br />
<br />
จึงพอสังเกตได้ว่าคนที่เราคิดว่าเขาไม่ดี ลึก ๆ แล้วเขาอาจไม่ใช่คนไม่ดีอะไร เพียงแต่เขาไม่แสดงความรับผิดชอบในบทบาทของตัวเองตามที่เราคาดหวัง เพื่อนต่างสีกัน เห็นต่างกัน เพราะคาดหวังต่างกัน ต่างฝ่ายต่างคิดว่าคนของฝ่ายตนรับผิดชอบดีแล้ว และคาดหวังให้อีกฝ่ายรับผิดชอบอย่างที่ตนคาดหวัง แต่ต่างคนก็ต่างคาดหวังไปคนละอย่าง<br />
<br />
แทนที่จะเถียงกันเรื่องคนดี/คนไม่ดี ซึ่งตัดสินได้ยาก เราน่าจะมาคุยกันเรื่องความรับผิดชอบดีกว่า น่าจะหาจุดที่เห็นตรงกันได้ง่ายกว่า<br />
<br />
================================================ <br />
<br />
ถ้าคน ๆ หนึ่งถูกตัดวงจรความรับผิดชอบของตนเองออกไปจากการกระทำทั้งหลายของตนแล้ว จะคาดหวังให้คน ๆ นั้นกระทำสิ่งใด ๆ โดยมีหิริโอตัปปะกำกับนั้นเป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง<br />
<br />
อันว่าการแสดงความรับผิดชอบของคนหนึ่ง ๆ นั้น จะถูกเคี่ยวกรำให้เติบโตขึ้นตามขั้นตอนธรรมชาติของภารกิจที่ได้รับมอบหมาย จากงานเล็ก ๆ ไปสู่งานที่ใหญ่กว่า คนที่กระโดดไปรับงานใหญ่ ๆ เลยจะพัฒนาสำนึกความรับผิดชอบได้ไม่ทัน ก็จะแสดงความรับผิดชอบที่เหมาะสมออกมาไม่ได้ อนึ่งควรบันทึกไว้ด้วยว่าการเติบโตของสำนึกรับผิดชอบของแต่ละคนมีอัตราไม่เท่ากัน ที่เรียกว่าคนเก่ง แท้จริงแล้วสำนึกความรับผิดชอบเขาเติบโตเร็วกว่า ที่เรียกว่าไม่เก่ง แท้จริงแล้วสำนึกความรับผิดชอบเขาเติบโตช้ากว่าเท่านั้น<br />
<br />
การไม่รับผิดชอบก็มีหลายแบบ คือ<br />
<ol>
<li>ไม่รู้ว่าต้องรับผิดชอบ (ไม่รู้หน้าที่)</li>
<li>ไม่รู้ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร (ไม่รู้วิธี)</li>
<li>ไม่ต้องการรับผิดชอบ (ไม่รู้สำนึก)</li>
</ol>
<br />
สังเกตดูคนที่ไม่อยากรับผิดชอบ แต่อยากใหญ่ พวกนี้จะไม่ค่อย ๆ พัฒนาสำนึกความรับผิดชอบของตนขึ้นมาจากงาน จะด้วยความด้อยสามารถหรือจะด้วยความขี้เกียจก็แล้วแต่ เส้นทางที่จะเติบโตขึ้นของคนเหล่านี้อาจจะมาจากเส้นสาย อาจจะมาจากการสร้างภาพ หรืออื่น ๆ แต่เราจะดูคนพวกนี้ออกก็ตอนที่เกิดวิกฤติในงาน <br />
<br />
คนที่พัฒนาสำนึกความรับผิดชอบมาตามปกติก็จะแสดงความรับผิดชอบตามความเหมาะควรออกมาได้ และด้วยความเข้าใจของเขาว่าทุกสิ่งที่เขาทำ เขาก็ต้องรับผิดชอบ ทำให้เขาทำไม่ดีได้ยาก<br />
<br />
ส่วนคนที่พัฒนาการของสำนึกความรับผิดชอบ โตไม่ทันกับงานที่รับผิดชอบ ก็จะสามารถทำอะไรแปลก ๆ ได้หลายอย่าง เพราะไม่ได้คิดไว้ว่าตนเองต้องรับผิดชอบอะไร หรือไม่คิดว่าสิ่งที่ตนทำจะส่งผล ดี/เสียหาย มากน้อยขนาดไหน ก็จะไม่ได้แสดงความรับผิดชอบที่เหมาะควรขึ้นมา<br />
<br />
================================================<br />
<br />
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนในสังคมที่มีศักยภาพจริง จะปล่อยให้คนที่ขาดศักยภาพเติบโตขึ้นไปรับผิดชอบงานสำคัญของสังคมไม่ได้ เพราะคนพวกนี้รับผิดชอบไม่ได้และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ ก็จะกระทบคนในสังคมทั้งหมด<br />
<br />
สุดท้ายแล้ว การที่เราปล่อยให้คนที่ไม่เก่ง ไม่พร้อม ไม่รู้ ขึ้นไปรับผิดชอบงานสำคัญ ๆ ของสังคมที่เราอยู่ได้ไม่ว่าระดับไหนก็ตาม ก็ถือว่าเป็นความไม่รับผิดชอบต่อสังคมของเราเองเช่นกัน<br />
<br />
และพวกเราก็ล้วนต้องรับผลของความไม่รับผิดชอบนั้นทั่วกันทุกคนjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-36158830535483798352013-05-25T02:43:00.000+07:002013-05-27T21:07:46.260+07:00คนมีการศึกษาต้องเรียนจบชั้นไหน?มีคนถาม <a href="http://www.facebook.com/ajWiriya?hc_location=stream" target="_blank">อ. วิระยา</a> ว่า คนที่เรียกว่ามีการศึกษาต้องจบชั้นไหน?<br />
<br />
เป็นคำถามที่ดีมาก ๆ เพราะเวลาพูดกันเรื่องนี้ถ้าไม่นิยามกันให้ชัด ๆ ว่าขอบเขตอยู่ตรงไหนกันแน่ คุยกันไปมากลายเป็นการดูหมิ่นคนจบน้อย คนละเรื่องกันไปคุยกันไม่ได้ใจความ<br />
<br />
อ. วิริยา ท่านก็มีคำตอบของท่านว่า<br />
<blockquote class="tr_bq">
<span class="userContent" data-ft="{"tn":"K"}">แฟนเพจถามมา คนมีการศึกษา นั้นต้องจบชั้นอะไร............<br /> คนมีการศึกษา สำหรับผม คือ.........<br /> คนที่ ใช้เหตุผล มากกว่าใช้กำลัง<br /> นิยมการ รับฟังและหาทางออกที่ดี มากกว่า การใช้อำนาจบังคับ<br /> รู้สึกรังเกียจ ต่อการละเมิดกฏหมาย<br /> อายต่อการเอาเปรียบผู้อื่น <br /> เรียนอะไร จบชั้นไหน ผมก็นับว่าเป็นผู้มีการศึกษา ครับ</span></blockquote>
ก็เป็นคำตอบที่ผมยอมรับได้ ผมเองก็มีความเห็นคล้าย ๆ กัน แต่ว่าเขียนให้อยู่ในอีกรูปแบบหนึ่งได้ว่า ก็คือมันไม่สำคัญหรอกว่าจะเรียนจบชั้นไหน แต่ต้องไม่มีคุณสมบัติของผู้ไร้การศึกษาดังต่อไปนี้<br />
<h4>
<b>เป็นคนหูเบา</b> </h4>
คนหูเบามีคนบอกอะไรมาก็เชื่อไปหมด ผมเองยึดหลัก <i>"ไม่ได้เห็นกับตา ไม่ได้ยินกับหู ยัง<u>ไม่ปักใจเชื่อ</u>"</i> ผมขีดเส้นใต้คำว่า <u>ไม่ปักใจเชื่อ</u> เพราะไม่ได้แนะนำว่าห้ามเชื่อ แต่ก่อนจะเชื่อจะต้องใตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน การใตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะปักใจเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของผู้มีการศึกษา<br />
<h4>
อคติแรงจัด</h4>
อคติมี 4 ประเภทคือ<br />
<ul>
<li>ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก หากมีฉันทาคติกับใครมาก เวลาคน ๆ นั้นพูดอะไรก็มักจะเชื่อเขาง่าย ๆ ปิดประตูที่จะได้รับข้อมูลจากมุมอื่น ๆ</li>
<li>โทสาคติ ลำเอียงเพราะเกลียด หากเกลียดใครมาก เวลาคน ๆ นั้นพูดอะไรก็จะไม่ฟัง ไม่เอามาคิด ปิดประตูที่จะได้รับทราบข้อมูลจากมุมอื่น ๆ ยิ่งคนอยู่ในสังคมแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หากชอบพอกับคนหนึ่ง ก็มักจะต้องเกลียดอีกคนหนึ่งไปด้วยเสมอ อคติทั้ง 2 นี้ก็เลยมักจะโผล่มาพร้อม ๆ กัน</li>
<li>โมหาคติ ลำเอียงเพราะโง่ หลงงมงายกับเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เช่นงมงายกับลัทธิ แนวปฏิบัติ บางอย่างโดยปราศจากการคิดอย่างถี่ถ้วน ผมเคยเห็นว่าอาการแบบนี้ คนจบสูง ๆ บางคนก็เป็น คือไปเจอเครื่องไม้เครื่องมือ หรือวิธีการ หรือกระบวนการที่ตนเองประทับใจ ก็ปักใจคิดว่าเครื่องไม้เครื่องมือแบบนี้ วิธีการแบบนี้ กระบวนการแบบนี้ <u>เท่านั้น</u> คือคำตอบสุดท้ายของทุกเรื่อง ทำให้การตัดสินใจผิดพลาด</li>
<li>ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว กลัวอำนาจเหนือกว่าเลยสยบยอมแบบราบคาบ กลัวคนว่าไม่รู้เลยทำเป็นรู้ ออกแนว ๆ พระราชาสวมผ้าทิพย์ โดนหลอกเอาง่าย ๆ </li>
</ul>
ผมไม่ได้ว่าคนจะต้องปราศจากอคติ อันที่จริงถ้ามองจากมุมมองในระดับอุดมคติแล้วเราก็อยากให้ทุก ๆ คนปราศจากอคติ แต่มันเป็นไปได้ยากและถ้าเป็นได้จริงโลกนี้คงไม่มีความวุ่นวายแล้ว แต่เพราะเรากำลังคุยกันเรื่องปุถุชนจึงเรียกร้องเพียงแค่ให้รู้ทันอคติของตนเอง อคติจะได้ไม่แรงจัดเท่านั้น<br />
<br />
คนที่มีอคติแรงจัดทำให้การคิดใคร่ครวญไม่ถี่ถ้วนรอบคอบ ปักใจเชื่ออะไรง่าย ๆ ทำให้การตัดสินใจผิดพลาด ถ้ายังไม่ตระหนักว่าตนมีอคติ 4 อยู่ รู้ไม่ทันอคติของตนเองและไม่พยายามลดอคติทั้ง 4 ลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่ระดับของตนจะทำได้ก็นับได้ว่ายังไม่มีการศึกษา<br />
<h4>
ไม่มีเหตุไม่มีผล </h4>
ไม่มีการเรียบเรียงความคิดจากเหตุไปหาผล ดังนั้นจึงไม่สามารถทำความเข้าใจเหตุผลได้ และคนดี ๆ ก็ไม่สามารถคุยด้วยโดยใช้เหตุผลได้ ความมีเหตุมีผลนี้ต้องอยู่กับโลกของความเป็นจริง การเป็นเหตุเป็นผลในโลกอื่น ๆ เช่น เกม การ์ตูน นิยาย ไม่นับ ความไม่มีเหตุผลแบบหนึ่งที่พบบ่อยในหมู่คนไร้การศึกษาก็คือการคิดเข้าข้างตนเอง ทำให้เกิดความไม่รอบคอบ และสร้างปัญหานานาประการให้กับชีวิตของตนเอง<br />
<h4>
ไม่รับผิดชอบ</h4>
คืออาจเป็นเพราะไม่เข้าใจถึงผลของการกระทำอย่างถ่องแท้ จึงไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้น ๆ ความไม่รับผิดชอบอาจแสดงออกมาได้หลายทาง เช่นชุ่ย มักง่าย ไม่รอบคอบ คิดทางเดียว (คือไม่มีการคิดเผื่อความผิดพลาด) หรือที่เลวร้ายที่สุดก็คือไม่ขวนขวายใส่ใจทำแม้แต่งานของตนเอง รวมทั้งหมดลงได้ที่ความไม่รับผิดชอบทั้งสิ้น<br />
<br />
หากบุคคลใดก็ตาม<br />
<ol>
<li>หูเบา</li>
<li>อคติจัด</li>
<li>ไม่มีเหตุผล</li>
<li>ขาดความรับผิดชอบ</li>
</ol>
ถึงจะเสียเวลาเล่าเรียนไปหลายปีก็น่าเสียดายว่าเวลาเหล่านั้นสูญเปล่า เพราะเป้าหมายของการศึกษาทุกระดับคือให้บุคคล<br />
<ol>
<li>ไม่ปักใจเชื่ออะไรง่าย</li>
<li>วินิจฉัยสิ่งต่าง ๆ โดยปราศจากอคติ</li>
<li>มีเหตุมีผล และ</li>
<li>มีความรับผิดชอบในงาน</li>
</ol>
หากแม้ไม่เคยเข้าโรงเรียนเลย แต่ได้เรียนรู้จากโลกจนกระทั่งมีคุณสมบัติทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมานี้ ก็นับได้ว่าเป็นผู้มีการศึกษาอย่างแท้จริง และจะไม่สร้างปัญหาให้กับชีวิตของตนเองเกินว่าที่มันจะมีโดยธรรมชาติของชีวิต<br />
<br />
ทั้ง 4 ข้อเป็นส่วนเสริมซึ่งกันและกันได้อย่างดี นั่นคือ คนที่รับผิดชอบต่อตนเองก็จะรอบคอบ คนที่รอบคอบ ย่อมไม่หูเบา เมื่อไม่หูเบาย่อมมีอคติน้อย เมื่อมีอคติน้อยก็มีเหตุผลมาก เมื่อมีเหตุผลมากก็จะรู้ว่าต้องรับผิดชอบ เมื่อรับผิดชอบก็รอบคอบ...<br />
<br />
ในทางกลับกัน คนที่ไม่รับผิดชอบต่อตนเองย่อมไม่รอบคอบ คนที่ไม่รอบคอบย่อมหูเบา เมื่อหูเบาอคติก็เข้ามาได้ง่าย เมื่อมีอคติจัดย่อมกลายเป็นคนไร้เหตุผล เมื่อขาดเหตุผลก็ไม่รับผิดชอบ เมื่อไม่รับผิดชอบก็ไม่รอบคอบ...<br />
<br />
เกณฑ์ 4 ข้อที่กล่าวมานี้ไม่เกี่ยวกับการเป็นคนดีหรือคนไม่ดี เพราะเราสามารถจินตนาการถึงคนที่มีคุณสมบัติของผู้มีการศึกษา 4 ข้อนี้ครบ แต่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นได้<br />
<br />
ผมเห็นต่างจาก อ. วิริยา ตรงที่ผมไม่คิดว่าเราจะเรียกคนเอารัดเอาเปรียบคนอื่นว่าไร้การศึกษา (แม้ว่าคนทำชั่วล้วนโง่ก็ตาม) เราเรียกคนพวกนี้ว่าคนชั่ว หรือคนไม่ดี ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นคนไร้การศึกษาให้สับสนกัน เพราะปัญหาคนไร้การศึกษาแก้ได้ด้วยคุณธรรมชุดหนึ่ง ส่วนปัญหาคนชั่วต้องแก้ด้วยคุณธรรมอีกชุดหนึ่ง หากเอามาปนกันเวลาแก้ปัญหามันจะยุ่ง<br />
<br />
ผมพบว่าการได้คิดในเรื่องเช่นนี้สนุกและมีประโยชน์มากทีเดียว หวังว่าข้อสรุปความคิดนี้คงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน ขอขอบคุณผู้ตั้งคำถามด้วยใจจริงที่เปิดโอกาสให้มีโอกาสคิดในเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองต่อไปอย่างแน่นอน<br />
<h4>
[แก้ไข] </h4>
ผมขยายความจากหัวข้อรอบคอบให้กลายเป็นรับผิดชอบ เพราะรับผิดชอบกินความครอบคลุมมากกว่าjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-14521306907626881342013-01-14T02:01:00.001+07:002013-01-14T02:03:30.361+07:00เส้นทางแห่งการปรองดองช่วงสัปดาห์นี้ได้มีโอกาสไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ทำให้จิตใจมันน้อมเข้าสู่คำสอนของพระพุทธเจ้ามากกว่าปกติจนถึงขั้นขวนขวายไปหาธรรมบรรยายมาฟัง <a href="http://watpala1.org/index.php/2011-10-10-21-17-20/51-2011-10-10-20-15-50/159-2011-10-10-21-55-26" target="_blank"></a><br />
<br />
ระหว่างที่ค้นหาก็ได้พบบรรยายธรรมเกี่ยวกับพระสูตรอยู่ 2 บทคือ การบรรยายธรรมเรื่องสาราณียธรรมสูตร และ การบรรยายธรรมเรื่องสิงคาลกสูตร เนื้อหาก็มีเยอะแต่ที่จับได้ตามกำลังสติ ปัญญา และสมาธิ ก็คือพระสูตรแรกว่าด้วยเรื่องความสามัคคี และพระสูตรหลังว่าด้วยธรรมะสำหรับฆราวาส ฟังแล้วก็ได้คิดว่าถ้านำไปใช้ในเรื่องการเมือง ประเทศไทยคงสงบสุขเร็วขึ้น<br />
<br />
ในบรรยายธรรมเรื่องสาราณียธรรมสูตรนั้นท่านว่าเหตุแห่งความสามัคคีนั้นก็คือ<br />
<ol>
<li><b>บุคคลในหมู่คณะต้องมีศีลเสมอกัน</b> ท่านขยายความว่าทุกคนต้องมีสิทธิ์เท่า ๆ กันตามสมควรแห่งฐานานุรูป </li>
<li>อีกข้อหนึ่งก็คือ<b>บุคคลในหมู่คณะต้องมีทิฏฐิเสมอกัน</b> จากที่ท่านขยายความผมก็เข้าใจว่าคล้าย ๆ อุดมการณ์เดียวกันนั่นแหละ คือหวังผลปลายทางไว้อย่างเดียวกัน</li>
</ol>
ถ้าอย่างนั้นเหตุแห่งการแตกสามัคคีก็ตรงกันข้ามก็คือ<br />
<ol>
<li><b>ศีลไม่เสมอกัน</b> คือคนกลุ่มหนึ่งได้รับข้อยกเว้นบางอย่าง คนอีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้รับข้อยกเว้นโดยไม่มีเหตุแห่งการยกเว้น คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิบางอย่างเหนือกว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งโดยไม่มีเหตุแห่งการมีอภิสิทธิ์ หรือเหตุดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล ก็เรียกว่าศีลไม่เสมอกัน การระงับเหตุแห่งการมีศีลไม่เสมอกันในระดับประเทศก็คือการบังคับใช้กฏหมายต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน</li>
<li><b>ทิฏฐิไม่เสมอกัน</b> คือมีความเห็นในด้านอุดมคติเป้าหมายปลายทางที่แตกต่างกันมาก </li>
</ol>
อันที่จริงเรื่องนี้ก็มีข้อโต้แย้งอยู่เหมือนกัน คือในส่วนของกฏหมายที่ให้บังคับใช้ต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันนั้น เอาเข้าจริงก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนเท่ากันได้เป๊ะ ๆ เอาง่าย ๆ ว่าคนรายได้มากก็ต้องเสียภาษีในสัดส่วนที่สูงกว่าคนที่มีรายได้น้อย คนที่มีรายได้น้อยมาก ๆ ก็ได้รับสิทธิ์ไม่ต้องเสียภาษี<br />
<br />
เรื่องนี้คงต้องทำความเข้าใจกันจริง ๆ จัง ๆ ว่าคำว่าภายใต้กฏหมายเท่าเทียมกันนั้น มันไม่ต้องเท่ากันเป๊ะ ๆ ทุกคน เรียกว่าให้เสมอกันตามฐานานุรูปก็น่าจะได้ ทั้งนี้เพราะแต่ละคนก็ล้วนมีบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ กัน แม้แต่ในโรงเรียน นักเรียนคุยในห้องเรียนก็ถูกตัดคะแนน ครูคุยในห้องเรียนก็ไม่มีคะแนนจะตัด แต่มีโทษอย่างอื่นแทน เช่นถูกครูใหญ่ตำหนิ ตักเตือน ตัดเงินเดือน ฯลฯ นี้แสดงให้เห็นว่า สิทธิเท่าเทียมมันไม่ได้เท่ากันเป๊ะ ๆ แบบเหมือนกันทุกประการ แต่มันจะมี<u>หลักการอันสมเหตุสมผล</u>รองรับให้เหมาะให้ควรแก่บทบาทหน้าที่ของแต่ละคน<br />
<br />
การยกให้ใครเหนือกฏหมายโดยสิ้นเชิงหรือการพยายามกดให้ทุกคนอยู่ในกฏแบบเท่ากันเป๊ะ ๆ ผมจึงคิดว่าเป็นเรื่องผิดธรรมชาติและเป็นเหตุแห่งความแตกแยกเอามาก ๆ<br />
<br />
อีกประเด็นที่ว่าทิฏฐิควรเสมอกัน ที่ผมแปลว่าอุดมการณ์ไปในทางเดียวกันก็มีข้อโต้แย้งได้ว่า คนเราจะคิดเหมือนกันได้อย่างไร หรือที่ร้ายกว่าคือจะไปควบคุมให้ทุก ๆ คนคิดเหมือนกันได้อย่างไร<br />
<br />
ผมคิดว่าภายใต้ความแตกต่างกันในทางการเมืองนั้น ทุกคน (ควรจะ) มีอุดมการณ์ปลายทางอย่างเดียวกัน ก็คือความสุขความเจริญของประเทศชาติ (ชาติก็คือประชาชน) ความสงบสันติ ไม่ว่าจะเชื่อลัทธิการเมืองแบบใดก็ควรมีความคาดหวังเช่นนี้ไว้เป็นปลายทาง ถ้าเรามองเรื่องนี้ให้ชัด ๆ เราก็ควรจะเห็นได้ว่าทุกคนในประเทศ (ที่เป็นปรกติ) น่าจะถือได้ว่ามีทิฏฐิเสมอกันทั้งนั้น แต่จะไปยึดติดแบ่งเขาแบ่งเราด้วยหลักอุดมการณ์ที่ตื้นกว่าอยู่หรือเปล่า<br />
<br />
ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เรามีการโต้แย้งกันทางการเมือง ทางสังคม แล้วเราย้อนกลับมาคิดถึงศีลเสมอกัน และทิฏฐิเสมอกัน เราก็สามารถที่จะถกเถียงได้อย่างสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ ความเกลียดชังกัน การเหน็บแนมเสียดสีกันก็น่าจะลดลง<br />
<br />
การโต้แย้งใดที่ไม่เอื้อต่อการทำความเข้าใจกัน โดยอาศัยสองหลักที่ว่าข้างต้น ก็น่าที่จะถูกตั้งคำถามจากประชาชนว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องหรือไม่<br />
<br />
การสร้างสรรค์สังคมที่จะตระหนักถึงการทำให้ศีลเสมอกันและทิฏฐิเสมอกันได้นั้น บุคคล 2 กลุ่มเป็นอย่างน้อยควรตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนเองที่จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม นั่นก็คือ<br />
<ol>
<li>นักวิชาการและ</li>
<li>สื่อสารมวลชน</li>
</ol>
ผมเองคาดหวังว่านักวิชาการควรชี้ทางสว่างให้แก่สังคมได้ และสื่อสารมวลชนควรให้การศึกษาแก่ประชาชนได้ นอกจากนี้สื่อสารมวลชนยังต้องรับภาระด้านการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สังคมอีกด้วย ในบรรยายธรรมเรื่องสิงคาลกสูตรท่านก็พูดถึงคุณธรรมอันสำคัญข้อหนึ่งคือการปราศจากอคติ 4 ผมคิดว่าคนสองกลุ่มนี้ควรอย่างยิ่งที่จะต้องปราศจากอคติ 4 คือความลำเอียง 4 ประการซึ่งประกอบด้วย<br />
<ol>
<li>ฉันทาคติ คือลำเอียงเพราะชอบ</li>
<li>โทสาคติ คือลำเอียงเพราะชัง</li>
<li>โมหาคติ คือลำเอียงเพราะหลง</li>
<li>ภยาคติ คือลำเอียงเพราะกลัว</li>
</ol>
ถ้านักวิชาการและสื่อสารมวลชนของประเทศไทยไม่สามารถสลัดอคติ 4 ออกไปได้ มัวแต่สร้างหลักการ ให้ความเห็น เสนอข่าว ปลุกระดม กันด้วยอคติ 4 แล้วภาวะที่ศีลจะเสมอกัน ทิฏฐิจะเสมอกันได้มันก็ไม่เกิด ถ้าสภาพความเสมอกันนี้ไม่เกิดขึ้น สามัคคีมันก็ไม่เกิด ความสุขความเจริญในประเทศชาติมันก็ไม่เกิด<br />
<br />
หากการแสดงหลักการ แสดงความเห็น เสนอข่าวและข้อมูลต่าง ๆ กระทำกันแบบตรงไปตรงมาโดยปราศจากอคติ 4 ประชาชนก็จะได้เรียนรู้ และเมื่อประชาชนได้เรียนรู้ก็จะเกิดความเข้าใจในสภาพศีลเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกัน เมื่อเข้าใจและปฏิบัติได้ สามัคคีก็เกิด ความเจริญก้าวหน้าก็เกิด<br />
<br />
ผมคิดว่าเราไม่ต้องไปหวังอะไรจากนักการเมือง เจ้าลัทธิ นักปลุกระดม แต่เราควรคาดหวังได้จากนักวิชาการและสื่อสารมวลชนธรรมดา ๆ นี่แหละ ถ้าเราคาดหวังอะไรจากนักวิชาการและสื่อสารมวลชนไม่ได้ ไม่ว่าหลักการสวยหรูใด ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์อันใดแก่ประเทศไทย ประชาชนชาวไทย และสังคมไทยทั้งสิ้น<br />
<br />
ถ้าพวกเราจะรู้ทันนักการเมือง เจ้าลัทธิ และนักปลุกระดมได้ ประเทศไทยน่าจะเจริญกว่านี้ สงบสุขกว่านี้ และน่าอยู่กว่านี้มากทีเดียว<br />
<br />
<b>อ้างอิง</b><br />
บรรยายธรรมที่ผมได้รับฟังนี้เป็นบรรยายธรรมเรื่องพระสูตรของ<a href="http://watpala1.org/index.php/2011-10-10-21-17-20/51-2011-10-10-20-15-50/159-2011-10-10-21-55-26" target="_blank">ท่านพระธรรมเมธาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ)</a> เป็นพระสูตรแผ่นที่หนึ่ง ลำดับที่ 2 และลำดับที่ 14 - 17 ตามลำดับ jarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-86655554620987890802013-01-06T00:08:00.002+07:002013-01-20T23:16:27.801+07:00คำถามที่ตรรก (เท่าที่ผมมีปัญญาอยู่) ตอบไม่ได้คำถามที่ตรรก (เท่าที่ผมมีปัญญาอยู่) ตอบไม่ได้มีดังต่อไปนี้<br />
<ol>
<li>ภาษาที่มีคนใช้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เรียกว่าภาษามีชีวิต แล้วทำไมต้องเคร่งครัดกับการเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องด้วย</li>
<li>มนุษยชาติใหญ่กว่าชาติ และความคลั่งชาติก็สร้างปัญหาให้มนุษยชาติมากมาย ทำไมต้องรักชาติของตนมากกว่าชาติอื่น ๆ ด้วย</li>
<li>มารยาทเป็นเพียงการแสดงออก บอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจริงใจหรือไม่ ทำไมต้องมีมารยาทด้วย </li>
<li>ความดี-ความชั่ว เป็นเรื่องสัมพัทธ์ จะดีหรือชั่วขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ ณ ขณะนั้น ๆ สถานที่นั้น ๆ มันไม่ได้มีอยู่จริง แล้วทำไมจะต้องไปใส่ใจมากมายกับ ความดี-ความชั่ว โดยเฉพาะยิ่งกับสิ่งที่เรียกว่า จริยธรรม-ศีลธรรม ยิ่งน่าสงสัยด้วยซ้ำไปว่ามันคืออะไร มีจริงหรือไม่</li>
<li>การเลี้ยงดูบุตรของพ่อแม่ การสั่งสอนศิษย์ของครูอาจารย์ การช่วยชีวิตคนของหมอ ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร ล้วนเป็นการทำงานในหน้าที่ตามปกติ ทำไมต้องเป็นบุญคุณกัน ทำไมต้องมีความกตัญญูเป็นคุณธรรมด้วย</li>
<li>คน ๆ หนึ่งทำให้สิ่งของของอีกคนหนึ่งเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ ยินดีรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด แต่ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องก้มหัวเอ่ยคำขอโทษ ในเมื่อไม่ได้เจตนา ในเมื่อยินดีรับผิดชอบความเสียหาย ทำไมต้องขอโทษด้วย</li>
<li>การซื้อขายประเวณี หากเป็นการเต็มใจของผู้ขายและผู้ซื้อ ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีพันธะครอบครัว ถือว่าผิดศีล 5 หรือไม่ และถือว่าผิดคุณธรรมใดหรือไม่ ทำไมการค้าประเวณีจึงได้ชื่อว่าเป็นการค้ามนุษย์?</li>
</ol>
ก่อนจบ ขอชี้แจงว่าผมไม่ได้สงสัยเอง แต่ผมไม่สามารถตอบคำถามนักเรียน-นักศึกษาให้สิ้นสงสัยไปได้ด้วยตรรก<br />
<br />
ผมมีความปรารถนาจะตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ด้วยตรรก จึงมาบันทึกคำถามเหล่านี้ไว้เพื่อให้คนมาช่วยเหลือครับ คำตอบที่ได้ผมจะนำไปเรียบเรียงและใช้ตอบคำถามนักเรียนในโอกาสที่จำเป็นต่อไป<br />
<br />
ผมคิดว่าหากเราไม่พยายามตอบคำถามทำนองนี้ด้วยความเข้าอกเข้าใจในผู้ถาม สักแต่ว่าติเตียนถ่ายเดียว การเรียนรู้อย่างแท้จริงของเยาวชนก็จะไม่เกิด และจะกลายเป็นระเบิดเวลากลับมาทำร้ายสังคมของเราเองได้ในอนาคต jarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-6174714578920127902012-10-14T01:30:00.001+07:002012-10-14T01:36:55.661+07:00ความรู้คืออะไร?มีนักศึกษาถามใน Facebook ว่าความรู้คืออะไร? เนื่องจากว่าคำตอบมันยาวเลยเอามาเขียนในบล๊อกดีกว่า จะได้อ่านง่ายและเก็บไว้ตอบนักศึกษารุ่นต่อ ๆ ไปได้ด้วย<br />
<br />
ความรู้นั้นมีหลายระดับต่าง ๆ กันไป การศึกษาในแต่ละระดับก็คาดหวังผลสัมฤทธิ์เป็นความรู้ในระดับที่ต่าง ๆ กันด้วย จากประสบการณ์ + ความรู้ (ทั้งจากการอ่าน ความจำ การสังเกต การเก็บข้อมูล การคิดวิเคราะห์ การตีความ ฯลฯ) จะสาธายายได้ว่าความรู้มีหลายระดับดังต่อไปนี้<br />
<br />
<b>รู้แบบจำได้</b> คือเคยเห็น จำได้ เรียกว่ารู้แล้ว เช่นรู้ว่าอำเภอชนบทอยู่ในจังหวัดขอนแก่น เป็นต้น ความรู้เช่นนี้ต้องมีแหล่งความรู้ภายนอก เช่นอ่านหนังสือหรือแผนที่แล้วรู้ มีคนบอกแล้วรู้ ความรู้แบบนี้เป็นความรู้แบบรู้ข้อมูล ทั่ว ๆ ไปก็ใช้ความจำเป็นหลัก คนธรรมดาก็จะมีกลไกในการจำสิ่งที่สำคัญสำหรับตนเองเพียงพออยู่แล้ว<br />
<br />
โดยปรกติแล้วความรู้ในระดับนี้มีมากก็นับได้ว่ารู้มาก แต่ไม่ได้แปลว่าเก่ง ถ้าเก่งก็ถือว่าเก่งเรื่องจำแม่นเท่านั้น<br />
<br />
<b>รู้แบบรู้จัก</b> บ้างก็เรียกรู้จำ คล้าย ๆ กับรู้แบบจำได้ แต่ว่าการจำนั้นจะจำแบบลึกว่าการจำธรรมดา เช่นการเห็นหน้าเพื่อนแล้วรู้จักว่านี่คือเพื่อนเรา ไม่เคยต้องเอามาท่องแต่ก็จำได้ รู้แบบรู้จักนี้หากแม้นว่าหน้าเพื่อนจะเปลี่ยนไปบ้าง เช่นแก่ลง อ้วนขึ้น ไม่เหมือนเดิม เราก็ยังรู้จัก ความรู้ทางเทคนิคที่ใช้ความรู้แบบนี้ผมจัดหมวดหมู่ไว้ในกลุ่มความรู้พื้นฐาน เช่นกฏของโอห์มนี้คนที่เรียนวิศวกรรมไฟฟ้าไม่ควรจะต้องเอามาท่อง มันควรจะรู้แบบรู้จักแล้ว คือฝังลงไปในเส้นเลือดในไขสันหลังแล้ว สามารถหยิบมาใช้ได้แบบไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว ความรู้ในระดับนี้จะได้มาก็ด้วยการใช้ความจำบ่อย ๆ จนกระทั่งจำได้ลึกซึ้ง บางทีผมจะเรียกความรู้ในระดับนี้ว่า<b>ทักษะ</b><br />
<br />
ความรู้ระดับนี้มีมากก็นับได้ว่ารู้มาก ยังไม่เรียกว่าเก่ง แต่เรียกได้ว่าเป็นคนคล่องแคล่วว่องไวในงาน และจะช่วยให้เรียนรู้ได้เร็ว เพราะจะทำอะไรก็ไม่เสียเวลาเปิดคู่มือ เปิดตำรา สามารถหยิบใช้ความรู้นี้ได้ทันที<br />
<br />
<b>รู้แบบเข้าใจ</b> ภาษาไทยนี้ตรงตัวที่สุด คือมันเข้าไปในใจเลย เปรียบเหมือนจอมยุทธ์ที่ฝึกท่าร่างมาดีแล้ว เมื่อต่อสู้จริงจะใช้กระบวนท่าออกมาได้โดยไม่ต้องท่อง ไม่ต้องคิดถึงคำภีร์หรือตำราอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นอยู่ในใจอย่างสมบูรณ์แล้ว จะถึงขั้นนี้ได้ข้อมูลทุกอย่างที่รู้ หรือจำได้จะต้องเชื่อมโยงกันตามหลักเหตุและผล ความรู้แบบเข้าใจนี้เมื่อมีแล้วสามารถทำนายผลลัพธ์ของปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ได้จากความรู้เดิม ๆ เช่นเรารู้ว่า อำเภอเมืองชุมพร อยู่จังหวัดชุมพร ดังนั้นอำเภอเมืองขอนแก่นก็ย่อมจะต้องอยู่ในจังหวัดขอนแก่น ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก ไม่ต้องรออ่านจากตำรา แต่รู้ได้เพราะ<b>เข้าใจ</b>กลไกการตั้งชื่ออำเภอเมืองนั่นเอง<br />
<br />
รู้ระดับนี้หากมีมากก็นับได้ว่ารู้มาก แต่ก็ยังไม่เรียกว่าเก่ง เพียงเรียกได้ว่าเป็นคนหัวไวเท่านั้น<br />
<br />
ความรู้ทั้ง 3 ระดับนี้ส่งเสริมและพึ่งพาซึ่งกันและกันเสมอ ขาดระดับใดระดับหนึ่งไปไม่ได้ เปรียบดังหินเส้าไฟซึ่งต้องมีพร้อม 3 เส้าไม่อย่างนั้นก็ตั้งเตาไม่ได้<br />
<br />
คนที่หัวไว แต่จำเรื่องพื้นฐานไม่ได้จะเรียนในระดับสูงได้ยาก เพราะจำอะไรไม่ใคร่ได้<br />
คนที่มีทักษะเพราะทำมาก แต่หัวไม่ไวนักก็จะเรียนระดับสูงก็ต้องใช้เวลานาน เพราะเชื่อมโยงกลไกระดับลึกซึ้งไม่ได้<br />
คนที่มีความจำดี แต่ไม่ค่อยซ้อมก็จะขาดทักษะ เหมือนช่างมีเครื่องมือเยอะในกล่องแต่ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหนในกล่อง<br />
<br />
<br />
กลไกการส่งเสริมกันของความรู้ทั้ง 3 ระดับจะเป็นเช่นนี้คือ<br />
<ul>
<li>เริ่มต้นเรียนรู้ด้วยการทำความรู้จัก <b>ชื่อ</b> ของสิ่งต่าง ๆ ที่เราสนใจให้ได้มากที่สุดก่อน เช่นชื่อของอุปกรณ์ ชื่อของสารเคมี ชื่อของกระบวนการ ฯลฯ ผมเชื่อว่าหากเรารู้จักชื่อของมันเราจะควบคุมมันได้ จึงสำคัญที่เราจะต้องรู้จักชื่อของสิ่งต่าง ๆ ในแวดวงที่เราสนใจอย่างถูกต้อง <b>นี่เป็นเรื่องความจำ</b></li>
<li>ในบรรดาชื่อทั้งหลาย เราย่อมสังเกตได้ว่ามีบางชื่อปรากฏอยู่บ่อยกว่าชื่ออื่น แสดงว่านั่นเป็นชื่อที่สำคัญ หัวข้อที่เราสนใจจะต้องเกี่ยวกับชื่อนี้มาก ให้มองหา <b>เนื้อเรื่อง (Story)</b> ในหัวข้อนั้น ๆ ว่าหัวข้อนี้ต้องการบอกอะไรเรา <b>อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล</b> และส่วนต่าง ๆ ในหัวข้อนี้มันเชื่อมโยงกันอย่างไร <b>นี่เป็นเรื่องความเข้าใจ </b><u>ขอย้ำว่าให้มองหาเนื้อเรื่องไม่ใช่สมการ</u> นักเรียนที่เรียนด้วยการจำสมการไปทั้งดุ้นมักจะมีปัญหากับการเรียนในวิชาระดับสูงเสมอ</li>
<li>เมื่อเข้าใจเนื้อเรื่องแล้วจึงค่อยวิเคราะห์สูตร ว่ามันสนับสนุนเนื้อเรื่องของเราอย่างไร นี่ก็ยังเป็นเรื่องความเข้าใจ เพียงแต่ขั้นตอนนี้เราเชื่อมเนื้อเรื่องของเราเข้ากับสมการคณิตศาสตร์เพื่อพร้อมใช้งาน</li>
<li>เมื่อเข้าใจแล้วก็ทดลองแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาทักษะ ในกระบวนการนี้เราจะเจอทั้ง ชื่อ กลไก สัญลักษณ์และสมการบางอย่างซ้ำ ๆ กันแต่พลิกไปพลิกมาอยู่ในรูปต่าง ๆ กัน การพัฒนาทักษะเช่นนี้จะช่วยให้เรารู้จักสิ่งต่าง ๆ ในรูปแบบที่แปลกไปจากที่ปรากฏในตำราได้ (คือปลอมตัวมาก็หลอกเราไม่ได้เพราะเรารู้จักมันแล้ว) <b>นี่เป็นเรื่องทักษะ</b></li>
<li>ทุกขั้นตอนไม่มีลำดับชัดเจน จะเรียงกลับไปกลับมาอย่างไรก็ได้ </li>
</ul>
อยากจะเน้นย้ำว่าการเรียนรู้จะต้องเดินผ่านกระบวนการเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะเกิดการทะลุขึ้นในหัว (ร้องอ๋อ) ซึ่งนักศึกษาจะได้มาจากการใคร่ครวญปัญหาด้วยตนเองเท่านั้น คนอื่นไม่สามารถช่วยได้เลย สิ่งที่คนอื่นบอกเราได้เป็นเพียงข้อมูล (Information) เท่านั้น แต่ความรู้ (Knowledge) จะต้องเกิดขึ้นมาในหัวเราด้วยตัวเราเองเท่านั้น<br />
<br />
หวังว่าบันทึกเรื่องนี้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับนักศึกษาที่กำลังหลงทางและเรียนแบบผิดวิธีอยู่ (จำสูตรไปสอบ)<br />
<br />
อ้อ ลืมไป ในตอนต้นได้บอกไปว่ารู้ทั้ง 3 ระดับยังไม่เรียกว่าเก่งแล้วอย่างไรจึงจะเรียกว่าเก่ง สำหรับผมแล้วคนที่จะเรียกว่าเก่งได้ก็คือคนที่สามารถประสานความรู้ทั้ง 3 ระดับและสามารถนำความรู้นั้นมาใช้ทำงานได้ ใช้แก้ปัญหาได้ ใช้สร้างสรรค์ผลงานจริง ๆ ออกมาได้ นั่นจึงจะเรียกได้ว่าเก่งจริงครับjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-67452460348373619252012-09-14T00:11:00.002+07:002012-09-14T00:13:18.573+07:00ทัศนคติเชิงบวกเป็นเป้าหมาย ดี! แล้วเส้นทางล่ะ!?มีความคิดเห็นมากมายที่อ้างผลงานวิจัยทางจิตวิทยาว่าทัศนคติเชิงบวกมีคุณแก่ชีวิต ทั้งในด้านการงาน ชีวิตส่วนตัว แม้กระทั่งความรัก และผมเองก็เห็นด้วย คือเชื่อว่าจริง<br />
<br />
แต่ปัญหาในโลกนี้ซับซ้อนมากน้อยต่างกัน ผู้คนที่เป็นผู้รับมือกับปัญหาเองก็มีความฉลาดมากน้อยต่างกัน ผมเองก็ไม่ใช่คนฉลาดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ฉลาดเลยกับการรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง คือขาดทักษะทางด้านนี้อย่างมาก<br />
<br />
ทำให้เกิดอุปสรรคว่าถึงจะเชื่อว่าคิดบวกน่าจะช่วยได้ก็ตาม แต่จะคิดบวกอย่างไรเมื่อประสบปัญหาจริง เกิดผลเสียหายขึ้นจริง และต้องรับผิดชอบจริง เอาแบบบวกจริง ๆ นะ ไม่ใช่แค่เสแสร้งแกล้งยิ้ม<br />
<br />
ทัศนคติเชิงบวกอีกอย่างหนึ่งในการสอน ซึ่งผมก็เชื่อและพยายามทำเช่นกันก็คือการให้ Feedback เชิงบวกแก่นักศึกษาเป็นประจำ คือท่านให้ชมเรื่อย ๆ เรื่องนี้ผมก็เชื่อว่าเป็นของดี<br />
<br />
แต่ค่านิยมฝ่ายทัศนคติเชิงบวกมักไม่พูดถึงการตำหนิหรือดุด่าว่ากล่าวที่ดูจะเป็นสิ่งน่ารังเกียจเสียด้วยซ้ำสำหรับสำนักคิดนี้ ทำให้ในทางปฏิบัติผมยังติดขัดในบางกรณีที่พอเจอปัญหาปั๊บ ไม่รู้จะรับมือกับนักศึกษาอย่างไรนอกเหนือไปจากการตำหนิอย่างรุนแรง แล้วก็มานั่งเป็นทุกข์ กังวลใจว่าเราทำไม่ถูกต้อง ไม่เกิดผลดี<br />
<br />
ผมอยากได้เส้นทาง ผมอยากได้ตัวอย่าง ผมอยากรู้ว่าเวลาคนอื่นเจอปัญหาอย่างนิ้ ๆ อย่างที่เราเจอเนี่ย เขารับมือกับปัญหาอย่างไร เขาแก้ไขปัญหาอย่างไร เขารับผลของมันอย่างไร เพื่อเป็นแบบอย่างที่เป็นรูปธรรมไปเลยว่าคนคิดบวกเขารับมือกับปัญหาอย่างนี้ ๆ ด้วยวิธีการอย่างนี้ ๆ เราจะได้เอามาทดลองทำบ้าง ได้ผลก็ดีไป ไม่ได้ผลก็หาวิธีการอื่นต่อไป<br />
<br />
ผู้คนฝ่ายทัศนคติเชิงบวกหลายคนคงมองว่าคิดบวกเป็นเส้นทาง ก็แค่คิดให้มันเป็นบวกมันจะไปยากอะไร ท่านประสบความสำเร็จแล้วผมยินดีด้วย<br />
สำหรับผมที่เป็นบัวระดับต่ำกว่านั้น มองว่าคิดบวกคือเป้าหมายและตอนนี้ผมอยากได้เส้นทางเพื่อใช้เดินไปสู่ระดับความคิดขั้นนั้น....แม้ตอนนี้ก็ยังตามหาอยู่jarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-26637586265819954172012-07-28T23:48:00.001+07:002012-09-29T00:57:04.970+07:00Meaningful or Importantมีความเชื่อกันอยู่มากว่าองค์กรราชการมักจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพนัก เรื่องนี้ก็มีส่วนจริงอยู่แม้ว่าจะไม่จริงทั้งหมดก็ตาม ด้วยว่ามีหน่วยงานราชการในหลายกระทรวงที่มีประสิทธิภาพสูงอยู่เหมือนกัน เช่นกระทรวงต่างประเทศเป็นต้น<br />
<br />
ส่วนที่ไม่มีประสิทธิภาพนั้นก็มีอยู่เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องน่าสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นทั้ง ๆ ที่หากสืบย้อนไปในอดีตสักร้อยปี เราอาจพบบันทึกในลักษณะที่หน่วยงานราชการคือหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพสูงและมีแต่คนเก่ง ๆ อยู่มากก็ได้<br />
<br />
ผมคิดว่าการจัดการองค์กรราชการให้มีประสิทธิภาพ ส่วนหนึ่งนั้นอยู่ที่ตัวบุคคลในองค์กร ส่วนหนึ่งนั้นอยู่ที่วัฒนธรรมองค์กร และอีกส่วนหนึ่งนั้นอยู่ที่นโยบายการบริหารองค์กรจากระดับเบื้องบน<br />
<br />
ในฐานะที่เป็นคนข้างล่าง ก็มีความเชื่ออยู่ว่านโยบายจากเบื้องบนน่าจะเป็นกุญแจสำคัญ เพราะนโยบายสามารถเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรได้ วัฒนธรรมองค์กรสามารถเปลี่ยนบุคลากรได้<br />
<br />
ผมคิดว่านโยบายที่สร้างปัญหาให้กับคนทำงานก็คือนโยบายที่หลงทางไปเน้นงานที่ไม่มีความหมาย (Meaningless Work) ให้เป็นงานสำคัญ (Important Work) แทนที่งานที่มีความหมาย (Meaningful) กับองค์กร<br />
<br />
หากงานที่มีความหมายกับงานที่สำคัญไม่ใช่งานเดียวกัน บุคลากรในองค์กรอาจสับสนกับสัญญาณที่ฝ่ายบริหาร (ไม่ว่าจะระดับใด ๆ) ส่งออกมาได้ง่าย ๆ ว่าอันที่จริงแล้วเขาควรจะให้ความสำคัญกับสิ่งใดกันแน่<br />
<br />
<br />
ผมเชื่อว่าการนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จจำเป็นจะต้องตีโจทย์ให้แตกว่า งานใดเป็นงานที่มีความหมายกับองค์กรอย่างแท้จริง จากนั้นฝ่ายบริหารจะต้องทำให้งานที่มีความหมายนั้นเป็นงานสำคัญ แล้ววัฒนธรรมองค์กรก็จะปรับตัวตาม และบุคลากรก็จะปรับตัวตามทิศทางนโยบายของฝ่ายบริหารได้อย่างเป็นเอกภาพมากที่สุด<br />
<br />
หากสามารถทำให้งานที่มีความหมายเป็นงานที่สำคัญได้ องค์กรก็จะประสบความสำเร็จ เพราะบุคลากรในองค์กรจะไม่เสียเวลาไปกับงานอื่น ๆ<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม เพื่อความเป็นธรรมกับผู้บริหารทั้งหลายก็ควรบันทึกไว้ด้วยว่า สำหรับหน่วยงานราชการแล้ว การตัดสินใจว่างานใดเป็นงานที่สำคัญนั้นไม่อยู่ในมือของหน่วยงานเอง แต่กลับอยู่ในมือของหน่วยเหนือขึ้นไปหรือในหลายกรณีก็อยู่ในมือของฝ่ายการเมือง ทำให้ผู้บริหารเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นเดียวกันjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-76084267987422016052011-12-02T23:26:00.001+07:002011-12-03T23:51:33.848+07:00ปัญหาการทุจริตฉ้อราษฏร์บังหลวง - มุมมองใหม่วันนี้ได้อ่านบทความ "ไทยติดอันดับ ๘๐ คอรับชั่นโลก" จาก<a href="http://www.thaipost.net/" target="_blank">ไทยโพสต์</a> ฉบับวันศุกร์ที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ แล้วลองคิด ๆ ดูได้พบมุมใหม่ขึ้นมาประการหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้สังคมไทยพ้นไปจากสภาพ "เรื่องโกงเป็นเรื่องธรรมชาติ" ได้<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: left;">
มุมมองใหม่ที่ว่านี้เกิดจากความคิดที่ว่า </div>
<blockquote class="tr_bq">
<div style="text-align: left;">
คนเหมือนกัน ทำไมบางประเทศจึงมีการฉ้อราษฏร์บังหลวงน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ? </div>
</blockquote>
เป็นไปได้หรือไม่ว่าแต่เดิม มุมมองที่เรามีต่อการฉ้อราษฏร์บังหลวงและวิธีที่เราพยายามใช้แก้ไขพฤติกรรมการฉ้อราษฏร์บังหลวงนั้นมาจากมิติที่ไม่รอบด้านเพียงพอ เมื่อมองจากมุมที่จำกัดจึงไม่เห็นสาเหตุที่แท้จริง เมื่อไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงจึงไม่สามารถแก้ปัญหาได้<br />
<br />
ที่คิดอย่างนี้เพราะผมไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าคนต่างชาติจะมีศีลธรรมสูงกว่าคนไทย (และไม่เชื่อว่าคนไทยจะมีศีลธรรมสูงกว่าคนต่างชาติ) ในแง่ของความเป็นมนุษย์ผมคิดว่า คนไม่ต่างกัน แต่อะไรล่ะที่ทำให้สังคมของคนในแต่ละที่มันถึงได้ต่างกัน<br />
<br />
มุมมองเดิมคืออะไร? มุมมองเดิมก็คือการฉ้อราษฏร์บังหลวงเกิดขึ้นเพราะคนมันเลว ดังนั้นวิธีแก้คือทำให้คนมันกลายเป็นคนดีซะ!!?? ซึ่งผมว่ามันตื้นมาก ตื้นเกินไป ตื้นขนาดที่มีโฆษณารณรงค์ให้เป็นคนดีแบบแปลก ๆ เช่นมีโฆษณาวิทยุอยู่โฆษณาหนึ่ง เป็นฉากสอบสัมภาษณ์สมัครงานซึ่งมีดังนี้<br />
<br />
ผู้สัมภาษณ์: พิมพ์ดีดเป็นไหม<br />
ผู้สมัคร: ไม่เป็นครับ<br />
ผู้สัมภาษณ์: ใช้คอมพิวเตอร์เป็นไหม<br />
ผู้สมัคร: ไม่เป็นครับ<br />
ผู้สัมภาษณ์: เอ้า! แล้วเป็นอะไรมั่งเนี่ย<br />
ผู้สมัคร: เป็นคนดีครับ<br />
ผู้สัมภาษณ์: โอเค...รับเลย<br />
<br />
ผมคิดว่าถ้ารับคนดีแบบนี้เข้าไปทำงาน ผู้ใช้บริการหน่วยงานอาจจะเป็นฝ่ายเสียหายมากกว่า แล้วมันก็ไม่ใช่การทำดีตรงไหน การส่งเสริมคนดีที่เป็นอย่างนี้ในระยะยาวแล้วอาจสร้างคนเลวอื่น ๆ ขึ้นได้มาก สรุปแล้วจะเสียมากกว่าดี<br />
<br />
ด้วยการที่เรามองว่าความเลวเป็นเหตุแห่งการฉ้อราษฏร์บังหลวง เมื่อจะดับที่เหตุก็เลยดับที่ความเลวโดยทำให้มันดีซะ ซึ่งจากข่าว<a href="http://www.thaipost.net/" target="_blank">ไทยโพสต์</a>วันนี้แสดงให้เห็นเองแล้วว่ามันไม่ได้ผล (หรืออย่างน้อย แก้ไขที่ประเด็นนี้เพียงประเด็นเดียวมันไม่ได้ผล)<br />
<br />
งั้นเราเอาใหม่ ลองตั้งสมมติฐานว่าคนเราจะ ดี-เลว ในแต่ละสังคมไม่น่าจะต่างกันมากนักหรอก ดังนั้นจะ ดี หรือ เลว อาจไม่ใช่สาเหตุของการฉ้อราษฏร์บังหลวงโดยตรง สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้มีการโกงเกิดขึ้นน่าจะมีอะไรได้อีกบ้าง...<br />
<br />
<br />
ประเด็นหนึ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การฉ้อราษฏร์บังหลวงกลายเป็นเรื่องที่คนธรรมดายอมรับได้ก็คือ ระบบงานมันไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าลองนึกถึงสมัยที่องค์การโทรศัพท์ยังเป็นผู้ให้บริการคู่สายโทรศัพท์เพียงรายเดียวในประเทศไทยอยู่ การขอคู่สายโทรศัพท์เป็นเรื่องที่ยาก ใช้เวลานาน ราคาแพงและความช้าเร็วในการรอคิวขึ้นอยู่กับเงินพิเศษที่อาจต้องจ่ายเพิ่ม<br />
<br />
คนยอมจ่ายเพราะระบบมันไร้ประสิทธิภาพ<br />
<br />
ปัจจุบันมีผู้ให้บริการหลายเจ้า แต่ละเจ้าแข่งขันกันในด้านประสิทธิภาพการให้บริการ เมื่อระบบงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง "ยอมจ่าย" อีกต่อไป ถ้ามีเจ้าพนักงานเรียกเงินเพิ่ม ผู้ใช้บริการก็จะรับไม่ได้ และไม่ยอมจ่ายในที่สุด<br />
<br />
บางครั้ง ปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้คนไม่มีฉวยโอกาสฉ้อราษฏร์บังหลวงได้ก็เพราะคนธรรมดา หาข้ออ้างให้ตัวเองทำผิดระเบียบได้โดยไม่รู้สึกผิด ตัวอย่างเช่น ผมเคยสังเกตนักศึกษาที่ซื้ออาหารจากโรงอาหาร ในยุคหนึ่งไม่ค่อยพบว่าจะมีการเข้าคิวเท่าไร ใครแทรกเก่ง หน้าด้าน ก็จะได้สั่งอาหารก่อน นักศึกษากลุ่มเดียวกันเวลาไปซื้อตั๋วหนังที่ SF หรือ EGV กลับสามารถเข้าคิวต่อแถวกันได้อย่างเป็นระเบียบ<br />
<br />
คนกลุ่มเดียวกันแท้ ๆ<br />
<br />
นี่ยิ่งยืนยันกับผมต่อไปว่า ถ้าระบบดีมีประสิทธิภาพ ไม่มีคนธรรมดาคนไหนอยากจะเอาเปรียบคนอื่น ไม่อยากจะลัดคิว ไม่อยากจะผิดระเบียบ แต่เนื่องจากระบบมันไม่มีประสิทธิภาพ คนธรรมดาไม่อยากจะเสียเปรียบใครก็เลยมีข้ออ้างให้ตัวเองต้องยอมทำผิดระเบียบ แล้วก็เลยต้องพึ่งพาคนไม่ดีที่มีอำนาจ เป็นจุดเริ่มต้นของวงจรอุบาทว์ของการฉ้อราษฏร์บังหลวงของประเทศชาติต่อไป<br />
<br />
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการฉ้อราษฏร์บังหลวงที่น่าจะได้ผลดีกว่าการโฆษณารณรงค์ให้คนเป็นคนดี ก็คือการปรับปรุงประสิทธิภาพในงานต่าง ๆ ให้สูงขึ้น และนั่นทำให้ขยายความต่อไปได้อีกว่า การที่เรายอมให้มีความไร้ประสิทธิภาพในงานของเราก็เท่ากับเราส่งเสริมการฉ้อราษฏร์บังหลวงและเป็นส่วนหนึ่งของมันนั่นเองjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com10ขก. 1023, หนองปลาหมอ อ.โนนศิลา จ.ขอนแก่น 40110 ประเทศไทย15.9717357 102.621621114.9947997 101.35819359999999 16.9486717 103.8850486tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-46068127871564916892011-11-17T02:51:00.001+07:002011-11-17T03:16:26.849+07:00การเมือง - เกมแห่งอำนาจขอเดาว่า เรื่องวุ่น ๆ ทางการเมืองช่วงนี้ ว่าด้วยเรื่องการอภัยโทษ<br />
ดูไปดูมา อาจจะเป็นเพียงละครการเมืองเท่านั้นของผู้เล่นหนึ่งตัวเท่านั้น<br />
<br />
สำนวนที่ว่า เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ใช้ได้กับผู้นำที่ปราศจากธรรม<br />
แต่ขุนพลรู้จักเกมแห่งอำนาจ คงไม่ยอมให้ศึกจบง่าย ๆ<br />
ถ้าศึกจบ ขุนพลก็หมดความหมาย<br />
แต่ถ้าแพ้ศึก ขุนพลก็หมดความหมายเหมือนกัน<br />
<br />
ถ้าศึกยืดเยื้อล่ะ?<br />
ชนะแต่ไม่เด็ดขาด เพลี่ยงพล้ำแต่ไม่ยับเยิน<br />
มึงต้องใช้กูไปเรื่อย ๆ นี่แหละ อย่ามาสะเออะหายใจเอง<br />
<br />
หักเหลี่ยม เฉือนคมกันแบบเนียน ๆ<br />
ไม่รู้ว่ามีคนกระอักเลือดหรือยัง<br />
...น่าจะยัง เพราะมันอาจไม่ใช่เกม<br />
...น่าจะยัง เพราะถ้าเป็นเกม มันก็ยังไม่จบง่าย ๆ<br />
...น่าจะยัง เพราะคนเล่นคงวางหมากไว้หลายชั้น นี่แค่ชั้นแรก ๆ<br />
<br />
<br />
หรืออาจจะไม่มีการกระอักเลือดเลยก็ได้เพราะผมคิดผิด (และผมก็ผิดบ่อย ๆ)<br />
มันอาจจะเป็นของมันอย่างนั้นแหละไม่ใช่เกมเกิมอะไรสักหน่อย<br />
คิดมากไปได้ เหอ เหอ เหอ<br />
<br />
<br />
เอาเถอะครับ ชอบผู้บริหารแบบนี้ คราวหน้าอยากเลือกอีกก็เอาเถอะครับ สิทธิ์ใครสิทธิ์มัน<br />
Action and Consequence ช่วยกันรับผิดชอบ ตอบคำถามลูกหลานด้วยก็แล้วกัน<br />
<br />
<br />
<br />jarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-82060192590136714872011-10-28T01:30:00.002+07:002011-11-17T03:16:07.573+07:00น้ำท่วม / ตุลาคม 2554สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ปีนี้เข้าสู่การรับรู้ของผมทีละน้อย ๆ ตั้งแต่ต้นเดือนเป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากช่วงปลายเดือนกันยายน - ต้นเดือนตุลาคมของปีนี้มีอะไรเป็นพิเศษอยู่ นั่นคือมีงานที่มีกำหนดส่งในช่วงนี้เป็นจำนวนมาก ทั้งเรื่องหลักสูตร ซึ่ง...คงจะเขียนได้อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องแผนงบประมาณ แผนครุภัณฑ์ (ที่สุดแล้วก็ไม่ทัน) ตรวจข้อสอบ ส่งเกรด ส่งบทความวิจัย ทำหนังสือเดินทาง ทำวีซ่า ทั้งหมดนี้กระจุกอยู่ในช่วงเวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์ เหตุผลน่ะเหรอ....เชื่อไหมว่ามันก็เหตุผลเดียวกับเรื่องน้ำท่วมกรุงเทพฯ นั่นแหละ<br />
<br />
ในช่วงนั้นก็ทำงานตลอด กลับบ้านก็ไม่ได้หยุด แม้เปิดทีวีดูข่าวก็ไม่ได้ดูเต็ม ๆ คือทำงานไปด้วยฟังเสียงทีวีไปด้วย พอรู้ตัวอีกที น้ำก็ท่วมกรุงเทพซะแล้ว<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgv-t4XUabop4GnGaTlFY3KxHPsAfd45Ubu-U827jVcf2TM5rE7Kk0bGjUSEKhKEtap-VgkXDFcsz4pGBEvZM4t8uq-Ryw4nbU8PBzWBE8JJpYK69xvF4arUnpAkuIy3MYpDvGw/s1600/28-P1-A_2.gif" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="266" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgv-t4XUabop4GnGaTlFY3KxHPsAfd45Ubu-U827jVcf2TM5rE7Kk0bGjUSEKhKEtap-VgkXDFcsz4pGBEvZM4t8uq-Ryw4nbU8PBzWBE8JJpYK69xvF4arUnpAkuIy3MYpDvGw/s400/28-P1-A_2.gif" width="400" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ภาพจาก<a href="http://www.thaipost.net/">หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ออนไลน์</a> ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม 2554</td></tr>
</tbody></table>
ณ เวลานี้ผมทำงานอยู่ที่ขอนแก่น นึกไม่ออกว่าที่บ้านที่กรุงเทพฯ จะเป็นยังไง มันจะกระทบชีวิตคนในครอบครัวขนาดไหน ทั้ง ๆ ที่ในชีวิตผมผ่านน้ำท่วมกรุงเทพฯ มาแล้วหลายครั้ง จนมีช่วงหนึ่งในชีวิตที่คิดว่ามันคือกิจวัตรประจำปีด้วยซ้ำ แต่ทำไมครั้งนี้ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าครั้งใด ๆ ที่เคยเจอมาก่อนก็ไม่รู้เหมือนกัน<br />
<br />
เกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วมนี้ คิด ๆ ดูแล้วผมพบว่าในใจผมมีความโกรธอยู่ ดวงเล็ก ๆ แต่ท่าทางจะดับยาก ความโกรธนี้พุ่งเป้าไปที่คนที่มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงและโดยอ้อมทุกคน ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว อารมณ์ประมาณว่า แม่ง เรื่องแค่นี้จะตั้งใจทำให้ดีก็ไม่ได้<br />
<br />
ใครอยู่หน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรระดับไหนก็ตาม ลองใตร่ตรองดูนะครับว่า ประสิทธิภาพของหน่วยงานของท่านยังดีอยู่หรือ เอาที่ตาผมเห็นนะ ผมอาจจะเห็นไม่หมด ผมไม่ค่อยพบว่าภาครัฐมีการวางแผนเป็นกิจลักษณะ ถูกต้องตามหลักวิชา และถี่ถ้วนตามลำดับชั้น<br />
<br />
แน่นอนว่ามีการวางแผน แต่ว่าเป็นการวางแผนตามพิธีกรรม คือทำตาม ๆ เขา และข้อกำหนดก็ไม่ถี่ถ้วน ไม่ได้ทำตามหลักสามัญสำนึกอะไร การวางแผนถึงทำจนมีกระดาษเรื่องแผนเป็นปึก ๆ ก็เหมือนไม่ได้วางแผนนั่นแหละ<br />
<br />
นั่น!<br />
<br />
คือสาเหตุที่ทำให้น้ำท่วม<br />
<br />
ย้อนกลับไปอ่านย่อหน้าแรกนะครับ ว่าผมเจออะไรในที่ทำงาน ผมไม่กล้าว่าคนอื่นนักหรอก เพราะผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนั้นเหมือนกัน<br />
<br />
สิ่งที่ผมขอเสนอก็คือ ไม่ว่าพิธีกรรมทางเอกสารจะมีตัวอย่างมาอย่างไร ขอให้พวกเราทำงานโดยมีหลักสามัญสำนึกธรรมดา ๆ รองรับไว้เสมอ ไม่เช่นนั้นแล้ว หลักวิชา หรือพิธีกรรมใด ๆ ที่ไปเลียนแบบเขามาก็คงทำให้เราเป็นได้เพียงลิงใส่ชฏาเท่านั้น หาได้เป็นเทวดาตามอาภรณ์ที่สวมใส่ไม่<br />
<br />
และเรื่องนี้ ตัวเรานี่แหละจะรู้ตัวเองดีที่สุด หลอกตัวเองไม่ได้หรอกjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-34564509927095363412011-09-09T02:06:00.004+07:002011-09-09T02:07:06.600+07:00วิธีการสอนในเทอมนี้ ดูเหมือนจะได้ผลดีจากที่เคยบ่น ๆ ไว้เรื่องคำพูดของ <a href="http://en.wikipedia.org/wiki/George_Bernard_Shaw">George Bernard Shaw</a> เมื่อ<a href="http://kt-thoughts.blogspot.com/2010/12/he-who-can-does-he-who-cannot-teaches.html">สักพักใหญ่ ๆ มา</a>แล้ว ก็อย่างที่บอก ไม่ใช่ทุกคนที่สอนได้ อันนี้ไม่ใช่หยิ่ง จองหองนะ มันเหมือน ๆ กับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะทำอาหารอร่อยนั่นแหละ ดังนั้นคนที่ทำอาหารอร่อยควรจะภูมิใจฉันใด คนที่สอนได้และโดยเฉพาะที่สอนได้ดี ก็ควรจะภูมิใจด้วยเช่นกันฉันนั้น<br />
<br />
ในภาคเรียนนี้ (๑/๒๕๕๔) ผมได้ประมวลความบกพร่องในการสอนจากภาคเรียนก่อน ๆ เข้าด้วยกันพบว่า ความบกพร่องของผมก็คือ<br />
<ul>
<li>ให้เวลาน้อยเกินไปกับคนที่ตั้งใจเรียน อยากเรียน อยากรู้</li>
<li>ให้เวลามากเกินไปกับคนที่ไม่ตั้งใจเรียน ไม่ได้อยากเรียน ไม่ได้อยากรู้</li>
<li>เอาเรื่องพื้นฐานที่ควรให้นักเรียนขบคิดเอง ไปสอนอย่างละเอียดในห้องเรียน ส่งผลให้คนที่เรียนได้เร็วจะเบื่อ ในขณะที่คนที่เรียนได้ช้าก็จะงง</li>
</ul>
ภาคเรียนนี้เลยคิดอีกวิธีหนึ่งออกมา ก็คือ ในส่วนคะแนนเก็บ ผมไม่เช็คชื่อแล้ว แต่ผมจะกำหนดชั่วโมงเข้าพบไว้ ทำเป็นตารางแน่นอนไว้สัปดาห์ละ ๓ ชั่วโมง ในภาคเรียนนี้<b>นักศึกษาจะต้องมาพบผม</b>เพื่อถามคำถาม ๘ ครั้งตาม ๘ หัวข้อในบทเรียนภายในเวลาที่กำหนด<br />
<br />
นั่นหมายความว่า หากไปถามข้างทาง จะไม่ได้รับการเช็คชื่อ ถามนอกเวลาที่กำหนดให้ถามจะไม่ได้รับการเช็คชื่อ ถามเกินได้ แต่ไม่เช็คชื่อเกินให้ เช็คชื่อให้แค่ บทละ ๑ ครั้งเท่านั้น และผมให้สามารถเข้ามาตั้งคำถามได้พร้อม ๆ กันครั้งละ ๔ - ๕ คน คำถามเดียวก็ได้จะเช็คชื่อให้ทุกคน<br />
<br />
ผลตอบรับที่ได้นับว่าดี กล่าวคือ<br />
<ul>
<li>คนที่ต้องการถาม มีเวลาแน่นอนที่จะเข้ามาถามผม ไม่ต้องรอดูว่าผมอยู่ที่ห้องทำงานหรือเปล่า</li>
<li>คนที่ไม่เคยถามเลย มีจำนวนหนึ่งที่ครั้งแรก ๆ มาถามตามเพื่อนเฉย ๆ (คือไม่ได้ตั้งคำถามเอง) พออยู่ในบรรยากาศการซักถามของเพื่อน ๆ สักพักจะเริ่มสนุกกับการถาม และครั้งต่อ ๆ มาก็สามารถตั้งคำถามเองได้ และได้เรียนรู้คุณค่าของการถาม</li>
<li>เนื้อหาที่สอนในห้องเรียน แม้จะเพียงพอกับการสอบ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่อยากถ่ายทอด มีนักศึกษาที่เรียนรู้ได้เร็วจำนวนหนึ่งมาเรียนรู้เพิ่มเติมในชั่วโมงที่เปิดให้ถาม</li>
<li>สุดท้ายตัวผมเองก็ได้เรียนรู้จากคำถามของนักเรียนเช่นกัน ทั้งในแง่ของตัววิชาเอง และในแง่ของการสอนว่าในชั่วโมงที่ผ่านมานั้นการสอนพลาดประเด็นสำคัญอะไรไปหรือไม่ มันจะสะท้อนออกมาในคำถามของนักศึกษานั่นเอง</li>
</ul>
จุดอ่อนของภาคเรียนนี้ก็คือการสั่งงานเขียนโปรแกรมที่ที่สุดแล้วก็ตรวจและให้ Feedback กับนักเรียนไม่ทันการณ์ ซึ่งต้องหาทางปรับปรุงต่อไปในอนาคต ใจอยากให้ทำเป็นโครงงานเล็ก ๆ มากกว่าให้โจทย์ แต่ไม่มั่นใจว่าจะดูแลนักศึกษาได้ทั่วถึง และเนื้อหาของโครงงานก็อาจไม่ครอบคลุม หากนักศึกษาได้มาอ่านและมีข้อเสนอแนะใด ๆ ก็ขอให้ทิ้งข้อความไว้ก็แล้วกันครับ ยังไง ๆ ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับรุ่นน้องต่อไปjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-22843728408437182262011-09-09T01:54:00.003+07:002011-09-11T13:21:18.345+07:00ความพ่ายแพ้ที่มาในคราบของชัยชนะในสัปดาห์นี้มีข่าว (น่าจะ) ดีสำหรับครอบครัวอยู่อย่างหนึ่ง คือผมได้รับตำแหน่งวิชาการแล้ว<br />
<br />
เป็นเรื่องที่หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้ เพราะจิตใจออกจะสับสนอยู่บ้างว่าอันที่จริงแล้วมันเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายกันแน่ เหตุผลที่ผมสับสนก็เพราะอันที่จริงแล้ว การที่ผมขอตำแหน่งวิชาการนี้ก็เพราะมหาวิทยาลัย "บังคับ" ให้พนักงานมหาวิทยาลัยทุกคนขอตำแหน่งวิชาการภายในเวลา ๗ - ๘ ปี หลังจากการบรรจุ มิฉะนั้นจะไม่ต่อสัญญา สิ่งที่ผมคิดไม่ออกก็คือการมีผู้ช่วยศาสตราจารย์เยอะ ๆ หรือรองศาสตราจารย์เยอะ ๆ หรือศาสตราจารย์เยอะ ๆ มันทำให้มหาวิทยาลัยดีขึ้นอย่างไรจึงทำถึงขนาดต้องบังคับกัน<br />
<br />
พูดง่าย ๆ ก็คือผมไม่ชอบถูกบังคับให้ขอตำแหน่ง พอ ๆ กับที่ผมเชื่อว่านักศึกษาไม่ชอบถูกบังคับให้ทำกิจกรรมนั่นแหละ <br />
<br />
ผมมีอคติกับวิธีคิด และกระบวนการในการขอตำแหน่งเกือบทุกขั้นตอน ตั้งแต่นโยบายการวัดระดับของมหาวิทยาลัยด้วยจำนวนผู้ดำรงตำแหน่งวิชาการ การเขียนระเบียบที่คลุมเครือ ไม่รัดกุม การตีความไม่สมเหตุสมผลในการระบุประเภทและองค์ประกอบของผลงาน ที่มาของการตัดสินผลงานว่าจะรับประเมินผลงานแบบไหน เกณฑ์ที่เกินเกณฑ์ (Over Spec.) ความไม่ชัดเจนในเรื่องเกณฑ์คุณภาพผลงาน ต้องทำไปแบบเดาใจผู้ประเมิน ซึ่งจะเป็นใครก็ไม่รู้ จะใช้เกณฑ์อะไรก็ไม่รู้ ฯลฯ ผมไม่พอใจกับขั้นตอนไหน ๆ ของมันแม้แต่ขั้นตอนเดียว<br />
<br />
แม้จะมีอคติกับมันขนาดไหน แม้จะไร้สาระ ไม่สมเหตุสมผลสักเพียงใด ที่สุดแล้วผมก็ต้องยอมทำตามมันไปจนสิ้นสุดกระบวนการตามระเบียบเสร็จสิ้นและได้ตำแหน่งวิชาการนี้มา<br />
<br />
ความสำเร็จ (?) ครั้งนี้ ในทางหนึ่งก็เป็นความสบายใจว่าไม่ต้องกังวลเรื่องต่อสัญญาแล้ว ในอีกทางหนึ่งตำแหน่งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งการยอมแพ้ต่อสิ่งที่เราไม่เชื่อมั่น ไม่เห็นประโยชน์ ไม่เห็นด้วย ไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ ที่เราดูแคลน นับเป็นความอัปยศในใจอย่างหนึ่ง<br />
<br />
อาจยิ่งแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะเรามองเห็นและเชื่อว่าว่ามีสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่สมเหตุสมผล เกิดขึ้นในระบบ แต่เราก็ยอมแพ้ต่อมันเพื่อเอาตัวรอด เราจะยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นครูบาอาจารย์อยู่อีกหรือ?<br />
<br />
อย่างไรก็ตามก็ต้องขอขอบคุณผู้สนับสนุนทุก ๆ ท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือ กำลังใจและคำแนะนำตลอดกระบวนการ ผมซาบซึ้งจากใจจริงในความหวังดีและเป็นห่วงของทุกท่านครับjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-1962785741070635922011-09-06T13:40:00.002+07:002011-09-06T13:40:53.971+07:00เรียนรู้จากการตรวจข้อสอบผ่านไปแป๊บเดียวถึงฤดูกาลตรวจข้อสอบอีกแล้ว รอบนี้ตรวจง่าย จากการตรวจข้อสอบพบว่ามีนักศึกษาอยู่ 4 กลุ่ม คือ<br />
<ol>
<li>กลุ่มที่รู้ว่าต้องทำอะไร และทำสิ่งนั้นได้</li>
<li>กลุ่มที่รู้ว่าต้องทำอะไร แต่ทำสิ่งนั้นไม่ได้</li>
<li>กลุ่มที่จะให้ทำอะไรก็ทำได้ แต่กลับไม่รู้ว่าต้องทำอะไร</li>
<li>กลุ่มที่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ทำไม่ได้ และไม่รู้ด้วยว่าต้องทำอะไร</li>
</ol>
สำหรับผมแล้ว กลุ่มที่ 1 ไม่น่าห่วง เพราะเขาเตรียมตัวมาดีแล้ว<br />
กลุ่มที่ 2 ไม่น่าห่วง เพราะถ้าจำเป็นเขาสามารถหาข้อมูลประกอบมาช่วยแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าปัญหาคืออะไร และควรจะแก้ไขอย่างไร<br />
กลุ่มที่ 4 ก็ยังไม่ห่วง เพราะเขาอาจจะไม่เหมาะกับสายงานนี้แต่แรก แต่อาจจะไปได้ดีในสายงานอื่น ๆ ซึ่งอาจพบในภายหลัง<br />
<br />
กลุ่มที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดกลับเป็นกลุ่มที่ 3 คือกลุ่มคนที่รู้ว่าวิธี ก. ทำอย่างไร วิธี ข. ทำอย่างไร แต่ไม่รู้อย่างลึกซึ้งถึงธรรมชาติของกรรมวิธี ทำให้เมื่อประสบปัญหาแล้วไม่รู้ว่าเมื่อใดจะต้องใช้วิธี ก. และเมื่อใดจะต้องใช้วิธี ข. และกรรมวิธีต่าง ๆ เหล่านี้จะเชื่อมโยงกันเพื่อแก้ปัญหาโดยรวมได้อย่างไร<br />
<br />
ถ้าบอกว่า ให้ทำวิธี ก. ซิ เขาก็จะทำได้ ถ้าบอกว่าให้ทำวิธี ข. ซิ เขาก็จะทำได้ แต่ถ้ามีปัญหามาให้และให้แก้ปัญหา ด้วยความที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจธรรมชาติของปัญหารวมทั้งธรรมชาติของการแก้ปัญหาอย่างลึกซึ้ง จึงไม่สามารถเลือกใช้กรรมวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ไปตามลำดับอย่างที่ควรจะเป็นได้<br />
<br />
ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญที่สุด<br />
<br />
ดังนั้นการสอนต่อจากนี้ไป จะเป็นการฝึกฝนให้นักศึกษารู้ว่าต้องทำอะไร และรู้ว่าสิ่งที่ต้องทำนั้น ทำอย่างไร และการสอบต่อจากนี้ไปจะเป็นการประเมินเพื่อจำแนกว่านักศึกษาแต่ละคน ๆ ที่เข้าสอบนั้นเป็นนักศึกษากลุ่มใด สำหรับผมแล้ว กลุ่ม 1 คือ A กลุ่ม 2 คือ B กลุ่ม 3 คือ C และกลุ่ม 4 คือ F<br />
<br />
ส่วนข้อสอบจะยากขึ้นหรือง่ายลงนั้นก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคน ว่าที่ปรับปรุงแล้วนี้จะถือว่ายากขึ้นหรือว่าง่ายลงjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-50539265140902028242011-07-10T13:18:00.000+07:002011-07-10T13:18:14.489+07:00ประเทศไหนเจริญ ประเทศไหนไม่เจริญ ดูตรงไหน?ผมเกิดความสงสัยมานานตั้งแต่เด็กแล้วว่า ที่เขาเรียกประเทศไทยว่าประเทศกำลังพัฒนานั้น เขาดูจากอะไร คือผมคิดว่าประเทศไทยมันก็ไม่ใช่ว่าเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตั้งประเทศ มันก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นตั้งเยอะแยะ และแน่นอนว่ามีอะไรแย่ ๆ เกิดขึ้นใหม่อีกเยอะแยะเช่นเดียวกัน<br />
<br />
เมื่อยี่สิบปีก่อนเราไม่มีรถไฟฟ้า เดี๋ยวนี้เรามีรถไฟฟ้า เมื่อสามสิบปีก่อนเราไม่มีเคเบิลทีวี เดี๋ยวนี้เราก็มีเคเบิลทีวี เมื่อสิบห้าปีก่อนอินเตอร์เนตมีขีดความสามารถต่ำ ปัจจุบันก็ได้ขยายขีดความสามารถขึ้นไปสูงกว่าเดิมไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า<br />
<br />
ทำอะไรต่อมิอะไรมาตั้งเยอะ เรายังพัฒนากันไม่เสร็จอีกหรือยังไง แล้วไอ้ที่เรียกกันว่าพัฒนาแล้ว มันพัฒนาเสร็จแล้วมันก็หยุดพัฒนาหรือยังไง<br />
<br />
จนกระทั่งขับรถผ่านเข้าไปในเมืองจึงพอจะได้คำตอบสำหรับตนเองอยู่ว่า ที่เรียกว่าพัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนานั้น ข้อแตกต่างน่าจะอยู่ที่ "คน" ในประเทศนั้น ๆ นั่นกระมัง คนในเมืองจอดรถซ้อนคันได้หน้าตาเฉย แม้กระทั่งนักศึกษา/อาจารย์/บุคลากรในมหาวิทยาลัย ก็สามารถจอดรถในที่ที่ขวางทางคนอื่นได้โดยไม่ได้รู้สึกละอายใจอะไร (หน้าศูนย์คอมเพลกซ์ตอนเย็น ๆ / สามแยกกังสดาล / หน้า 7-11 สโมสรอาจารย์ ฯลฯ) บางคนรู้สึกเขิน ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ใช้วิธีเปิดกระโปรงรถทิ้งไว้ แสร้งว่ารถเสีย ซื้อของทำธุระเสร็จกลับมาที่รถก็ปิดกระโปรงรถขับรถออกไปหน้าตาเฉย<br />
<br />
การที่คนไทยเรารู้สึกว่าการเห็นแก่ตัวเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็ทำกัน ถือเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะหลายคนก็คิดว่าคนไทยซื่อสัตย์กว่าฝรั่ง ใจดีกว่าต่างชาติ เอื้อเฟื้อกว่าเขา แต่ในความเป็นจริงหากสังเกตในชีวิตประจำวันแล้วผมกลับมองไม่เห็นอย่างนั้น <br />
<br />
ผมคิดว่าประเทศไทยนั้น ปัจเจกมีความเอื้อเฟื้อ แต่ปัจเจกจะไม่ยอมให้ระบบเอื้อเฟื้อหรือเป็นธรรม เพราะมันทำให้เขาหมดอำนาจ (ระบบการเงินราชการไทย มีหลายอย่างที่ต้องซื้อแต่เบิกไม่ได้ เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยคือคนที่ต้องจ่ายเงินจำนวนนั้นเพื่อให้งานเดินไปได้ - ไม่มีใครที่เกี่ยวข้องสนใจจะแก้ระบบนี้ตราบใดที่ระบบไม่ได้มาละเมิดเงินในกระเป๋าตัวเอง)<br />
<br />
ในขณะที่ในต่างประเทศนั้น ปัจเจกจะรักษาสิทธิ์ของตนเองทำให้ดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่ปัจเจกจะไม่ยอมให้ระบบเอารัดเอาเปรียบปัจเจกคนอื่น ๆ เช่นเดียวกัน กล่าวคือปัจเจกจะร่วมกันสร้างระบบที่เอื้อเฟื้อและเป็นธรรม เพราะทุกคนรู้ว่านั่นคือระบบที่ยั่งยืน<br />
<br />
ย้อนกลับมาที่พฤติกรรมเห็นแก่ตัวของคนไทย ผมคิดว่าคนทำเช่นนั้นเพราะคิดแค่ว่าเขา <u><b>ละเมิดกฏ</b></u> แต่เขาคิดไปไม่ถึงว่าเขาได้ <u><b>ละเมิดสิทธิ์คนอื่น</b></u> เขาจะรู้สึกว่าถ้าเขาทำผิด เขาก็แค่ผิดต่อกฏ ไม่มีใครเดือดร้อน จะอะไรกันนักกันหนา แต่ถ้าเขาคิดได้ว่าที่เขาทำนั้นคือการละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น บางทีเรื่องแบบนี้อาจจะลดลง<br />
<br />
หาไม่แล้ว ต่อให้เรามีเครือข่ายอินเตอร์เนตความเร็วสูง รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้า มีบทความวิจัย เปเปอร์ อันดับหนึ่งของโลก มี ผศ. รศ. ดร. เดินชนกันเต็มบ้านเต็มเมือง ก็ไม่อาจทำให้ประเทศไทยของเรากลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วไปได้เลยjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-14592705853237457872011-06-27T00:44:00.000+07:002011-06-27T00:44:23.616+07:00ถ้าผมเป็นนักการเมืองเมื่อสักครู่นี้ผมเขียน<a href="http://kt-thoughts.blogspot.com/2011/06/blog-post.html">บันทึกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง</a> ซึ่งทำให้นึกออกว่า ถ้าผมเป็นนักการเมืองผมจะทำอะไร ผมอยากแก้ปัญหาเกษตรกรครับ เพราะผมคิดว่าปัญหาอื่น ๆ ของประเทศเริ่มต้นที่นี่<br />
<br />
จากประสบการณ์การให้คำปรึกษานักศึกษาที่มาจากครอบครัวเกษตรกรจำนวนมาก ทำให้ทราบว่าปัญหาหลักของเกษตรกรก็คือ<br />
<ol><li>หนี้สิน</li>
<li>ภัยธรรมชาติ</li>
</ol>ถ้าแก้สองปัญหานี้ได้ ปัญหาของเกษตรกรคงจะลดลงมาก ผมคิดว่าภัยธรรมชาติคงแก้ไม่ได้ (แต่ควรบรรเทาได้) ก็จะบันทึกไว้เฉพาะเรื่องหนี้สินก่อน ซึ่งการแก้ปัญหาควรพิจารณาโดยหลักดังนี้<br />
<b>ปัญหา</b> เกษตรกรเป็นหนี้ ยิ่งทำนายิ่งเป็นหนี้ พอกพูนเข้าไปทุกปี ๆ จนกระทั่งสูญเสียที่นาในที่สุด<br />
<b>เหตุของปัญหา</b> เกษตรกรเป็นหนี้เพราะ<br />
<ol><li>ไม่มีเงินออม</li>
<li> เกิดภัยธรรมชาติทำให้ผลผลิตเสียหาย เงินที่ควรได้จากการขายผลผลิตจึงไม่มี และไม่มีเงินไปลงทุนเพาะปลูกในฤดูกาลถัดไป</li>
<li>ใช้เงินมากกว่าที่หาได้ ตรงนี้เองที่ยิ่งทำ ยิ่งเป็นหนี้</li>
<li>รายรับน้อยกว่าที่ควรเพราะถูกกดราคา </li>
<li>ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนขนาดเล็ก ระยะสั้นได้ ดอกเบี้ยถูกได้ จึงต้องไปต้องไปกู้แหล่งทุนดอกเบี้ยแพง จากปากคำของนักศึกษา แหล่งทุนที่ผู้ปกครองเข้าถึงได้บางรายคิดดอกเบี้ยสูงถึง <b>10% ต่อเดือน! </b>ที่น่าเจ็บปวดใจมากที่สุดก็คือคนที่ปล่อยกู้คือภรรยาของนายอำเภอเป็นคนทำเสียเอง ทั้ง ๆ ที่นายอำเภอเองนั้นก็เรียนจบมาได้ก็ด้วยภาษีของประชาชนแท้ ๆ</li>
</ol><b>เราต้องการให้</b><br />
<ol><li>เกษตรกรมีเงินออมเพียงพอ </li>
<li>เกษตรกรจะต้องรู้ตัวล่วงหน้าหากจะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น และควรมีหลักประกันหากมีความเสียหายเกิดขึ้น</li>
<li>เกษตรกรควรใช้เงินให้น้อยกว่าที่หาได้</li>
<li>เกษตรกรควรมีรายรับที่เป็นธรรม</li>
<li>เกษตรกรควรเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยถูกได้ เมื่อจำเป็น</li>
</ol><b>วิธีการ</b><br />
<ol><li>ให้ความรู้ด้านการออมที่ถูกต้องและเหมาะสมแก่เกษตรกร นักวิชาการทั้งประเทศควรคำนวณได้ว่า ครอบครัวขนาดเท่านี้คน มีที่ดินเท่านี้ไร่ เพาะปลูกสิ่งนี้ ควรมีเงินออมเป็นทุนสำรองเพื่อการเพาะปลูกสักเท่าใด เงินออมเพื่อสุขภาพสักเท่าใด เงินออมเพื่อการศึกษาสักเท่าใด การศึกษาด้านนี้อาจทำผ่านลูกหลานของเกษตรกรที่เข้ามาในระบบการศึกษาก็ได้</li>
<li>ทำระบบเตือนภัยธรรมชาติให้ทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น หากระบบทำงานไม่ได้หรือทำงานผิดพลาด จะต้องมีคนรับผิดชอบ และสร้างระบบประกันรายได้เกษตรกร (รูปแบบใด ของพรรคใดก็แล้วแต่ เอาสักอย่าง)</li>
<li>ให้ความรู้ด้านการบัญชี และการจัดการระบบไร่นาแก่เกษตรกร การใช้เงินเกินกว่าที่หาได้ ไม่ใช่เพราะความฟุ่มเฟือยเสมอไป แต่เป็นเพราะทำบัญชีไม่เป็น จนกระทั่งคำนวณต้นทุนการเพาะปลูกที่แท้จริงไม่ได้ นอกจากนี้ยังควรควบคุมราคาปุ๋ยและยาฆ่าแมลงให้สอดคล้องกับราคาผลผลิตด้วย</li>
<li>เมื่อรู้ต้นทุนที่แท้จริงแล้ว ควรกำหนดได้ว่าราคาขายของผลผลิตที่เป็นธรรมควรเป็นเท่าใด สามารถช่วยเกษตรกรเพิ่มผลผลิตได้ด้วยการให้ความรู้ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มผลผลิต ลดรายจ่าย </li>
<li>นำแหล่งทุนของเกษตรกรคืนให้เกษตรกร ผมเข้าใจว่าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์นั้นเดิมตั้งขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้ จึงควรระลึกถึงวัตถุประสงค์นี้ให้ได้ และปรับกลไก ขั้นตอน ระเบียบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์นี้<b> ขอแค่ธนาคารนี้ได้หวนระลึกถึงเจตจำนงค์ดั้งเดิมที่ทางราชการได้อุตส่าห์ตั้งธนาคารนี้ขึ้นมา ก็ควรเพียงพอแก่การแก้ปัญหาแล้ว</b> เรื่องนี้อาจเป็นไปได้ ถ้าให้คนในธนาคารได้รับการอบรมแบบเกษตรกรเสียก่อน อาจต้องจับไปดำนา เกี่ยวข้าวสักเดือนครึ่งเดือน คือให้คิดแบบเกษตรกรให้ได้ ไม่ใช่คิดแบบนายธนาคารอย่างเดียว</li>
</ol>นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะทำ หากผมเป็นนักการเมืองjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-63392368078841974412011-06-26T23:39:00.000+07:002011-06-26T23:39:57.059+07:00การเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้ว ผมยังสับสนอยู่เลยการเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้ว ผมยังสับสนอยู่เลยว่า โดยหลักการพื้นฐานที่ทำให้ประชาธิปไตยเติบโตขึ้นมาได้นั้น เราควรจะมีหลักการเลือกแบบไหน ระหว่าง<br />
<ol><li><b>เลือกบนพื้นฐานของความชอบ</b> (หมายความรวมถึงความชอบในนโยบายของพรรคด้วย) กล่าวคือ ชอบใคร ก็ให้เลือกคนนั้น พรรคนั้น อย่าไปคิดมาก</li>
<li><b>เลือกบนพื้นฐานของความไม่ชอบ</b> (หมายความรวมถึงความไม่ชอบในนโยบายของพรรคด้วย) กล่าวคือ ถ้าคิดว่าใครหรือพรรคใด น่าจะชนะพรรคที่เราไม่ชอบได้ในพื้นที่นั้น ๆ ให้เลือกคนนั้น พรรคนั้น ถึงแม้ว่าคนนั้น พรรคนั้นจะไม่ใช่คนหรือพรรคที่เราชอบมากที่สุดก็ตาม</li>
</ol>เพียงเท่านี้ก็เป็นเรื่องที่คิดไม่ตกแล้ว ผมมีคนที่ชอบ มีพรรคที่มีนโยบายตรงใจ แต่ถ้าเลือกคนนี้ พรรคนี้ ในพื้นที่นี้ มันก็ไม่ชนะอยู่ดี ถ้าต้องการกันไม่ให้คนนั้น พรรคนั้นชนะเลือกตั้งในพื้นที่นี้ ผมก็ต้องเลือกคนและพรรคที่สามารถล้มคนนั้น พรรคนั้นได้ แต่ก็ต้องแลกกับการไม่ได้เลือกนโยบายที่เราถูกใจ<br />
<br />
ทางเลือกใดจึงจะเป็นทางเลือกที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของหลักการประชาธิปไตยมากที่สุด อันที่จริงเขียนมาถึงบรรทัดนี้ชักจะสงสัยแล้วเหมือนกันว่า ที่เรียกว่าประชาธิปไตยนั้นแท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่??<br />
<br />
นอกจากนี้แม้แต่นโยบายทั้งที่ถูกใจและไม่ถูกใจที่พรรคการเมืองต่าง ๆ นำมาโฆษณานี้ เรียกว่านโยบายได้จริง ๆ หรือเปล่า<br />
<br />
เพราะผมกลับคิดว่าสิ่งที่เรียกว่านโยบาย มันจะต้องไม่มีรายละเอียด มันน่าจะบอกเพียงเป้าหมายว่านโยบายนี้จะนำไปสู่อะไร ด้วยเส้นทางแบบไหน เช่น<br />
<ul><li>นโยบายแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ด้วยหลักการภาษีที่ดิน หรือ</li>
<li>แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจด้วยนโยบายภาษีมรดก</li>
<li>แก้ปัญหาคุณภาพการศึกษา ด้วยการยกเครื่องการประเมินอาจารย์และสถาบันการศึกษา</li>
<li>แก้ปัญหาคุณภาพการศึกษา ด้วยการให้เกียรติทุกวิชาชีพเท่าเทียมกัน (ยกเลิกเงินค่าวิชาชีพ - ใครจะกล้า? ฮ่า ฮ่า ฮ่า)</li>
</ul>ไม่ใช่ขึ้นเงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ จะสร้างนั่นสร้างนี้ อย่างการสร้างท่อส่งน้ำในภาคอีสาน ก็ไม่น่าจะเรียกว่านโยบาย ต้องเป็นการพัฒนาการจัดการทรัพยากรน้ำในภาคอีสานต่างหากจึงจะเรียกว่านโยบาย เพราะการพัฒนาการจัดการทรัพยากรน้ำน่าจะทำได้หลายวิธี ไม่ใช่แค่โครงการสร้างท่อส่งน้ำราคาเป็นหมื่น ๆ ล้านเพียงวิธีเดียว ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ แล้วนั่นมันก็แค่รายละเอียดการปฏิบัติ จริง ๆ ผมยังสงสัยเหมือนกันว่า ด้วยรายละเอียดการปฏิบัติแบบนี้แบบนั้นที่โฆษณากันนี่มันตั้งอยู่บนนโยบายแบบไหน มีเป้าหมายอย่างไร ด้วยช่องทางใด เป็นไปได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ (เพราะถ้าคิดแค่ว่าเป็นไปได้ แจกคอมพ์ทุกบ้านก็เป็นไปได้ครับ) และถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ เรื่องนี้ต้องเปรียบเทียบกับลายเซนต์อาจารย์ที่ปรึกษา ที่นักศึกษาจำนวนมากคิดว่า ก็เซนต์ ๆ ไป ไม่น่าเรื่องมาก แต่การสักแต่ว่าเซนต์ ๆ ไปนั้นอันที่จริงไม่ถูกต้องชอบธรรมตามหลักการเข้าพบเพื่อขอลายเซนต์อาจารย์ที่ปรึกษา<br />
<br />
นโยบายที่เขียน ๆ กันมาเยอะแยะนี่ สุดท้ายทำได้ทั้งหมดหรือเปล่า มีอะไรโดดเด่นเร่งด่วนจริงหรือเปล่า เพราะเรียนมาว่า ถ้าทุกอย่างสำคัญหมด แสดงว่าไม่มีอะไรสำคัญเลย<br />
<br />
ที่โฆษณากันเยอะ ๆ นี่ ผมดูใบประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งแล้ว มีเพียงพรรคเดียวที่มีนโยบายสั้นที่สุด มีความจำเป็นต่อรัฐสภา และสามารถทำได้จริง ใครสงสัยลองไปหาดูว่าพรรคไหนก็แล้วกันjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-41103708622257756032011-05-20T01:17:00.000+07:002011-05-20T01:17:06.724+07:00ถ้าอยากรู้จักใคร ให้ทำงานร่วมกับเขาดูเคยมีนักเขียนนิยมไพรคนหนึ่ง ผมจำไม่ได้จริง ๆ ว่าเป็นคุณหมอบุญส่ง หรือคุณครูมาลัย (หรือว่าจะเป็นคนอื่น?) เขียนไว้ว่า<br />
<blockquote><i>ถ้าอยากรู้จักนิสัยใคร ให้ไปเที่ยวป่าด้วยกัน</i></blockquote>แล้วท่านก็ขยายความต่อไปว่าชีวิตในป่ามันลำบาก และต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อในการอยู่ในป่าเป็นไปได้โดยปรกติสุข ไม่ขาดนั้น ขาดอาหาร ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย และไม่ได้รับอันตรายจากภัยต่าง ๆ ในป่า<br />
<br />
เมื่อต้องอยู่ด้วยกันในสิ่งแวดล้อมปิดที่มีอันตรายเป็นเวลานาน คนเราก็มักจะเผยนิสัยที่แท้จริงออกมา เราจะรู้จักได้ว่าใครพึ่งพาได้ ใครไว้วางใจได้ ใครเห็นแก่ตัว ใครโอบอ้อมอารี ใครคิดมาก<br />
<br />
ผมเองไม่เคยเที่ยวป่าแบบโบราณ ส่วนการเที่ยวป่าแบบปัจจุบันก็ไม่ได้ไปมานานแล้ว แต่นอกเหนือจากการเที่ยวป่าแล้ว การร่วมงานกันซึ่งผมหมายถึงรับผิดชอบงานร่วมกัน ไม่ใช่ทำงานในที่ทำงานเดียวกันเฉย ๆ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่เราสามารถทำความรู้จักคนที่ทำงานร่วมกับเราได้<br />
<br />
หากสังเกตดี ๆ เราจะได้เห็นคนหลายแบบในงานที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันนี้ ทั้งคนที่เอาธุระ คนที่ไม่เอาธุระ คนที่รอบคอบ คนที่คิดมาก คนที่มักง่าย คนที่พึ่งพาได้ คนที่พึ่งพาไม่ได้ ในบางครั้งหากเจอคนที่ไม่พึงประสงค์ เราอาจจะคิดว่าโชคร้าย แต่หากคิดในแง่ดีไว้ เราก็ต้องบอกว่าโชคดีที่ได้รู้จักตัวจริงกันตอนนี้ ดีกว่าที่ต้องร่วมงานกันในงานที่ใหญ่กว่านี้ ต้องการความรับผิดชอบมากกว่านี้<br />
<br />
หากคิดในแง่ดียิ่งขึ้น เราจะพบว่าคนที่ไม่พึงประสงค์ จริง ๆ แล้วมีเพียงจำนวนน้อย เพื่อนร่วมงานอีกจำนวนมากที่ร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยกันเพื่อให้งานลุล่วงไป เราควรยินดีที่เราได้มีโอากาสร่วมงานกับเพื่อนร่วมงานที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้<br />
<br />
ความคิดที่ว่าการทำงานร่วมกันทำให้รู้จักกันนี้ เกิดขึ้นเมื่อผมได้มีโอกาสร่วมงานกับเพื่อนร่วมงานกลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มนี้มีคนที่ผมมีอคติเดิมอยู่ด้วยหนึ่งคน และคนที่ผมรู้จักแบบไกล ๆ อีกหนึ่งคน<br />
<br />
เมื่อเสร็จงาน เราได้รู้จักเพื่อนทั้งสองนี้มากขึ้นว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ พึ่งพาได้ อคติเดิมนั้นสลายสิ้นไป พร้อมกับเกิดความรู้สึกยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนทั้งสองนี้จริง ๆ เป็นครั้งแรก<br />
.<br />
.<br />
.<br />
ยินดีที่ได้รู้จักครับ ;)jarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-62035291385585322582011-05-14T21:57:00.000+07:002011-05-14T21:57:02.734+07:00ความหมายที่อาจจะซ่อนอยู่ในตำนานอ่าวพระนางเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเที่ยวกระบี่เป็นครั้งที่สอง แม้จะเป็นการเที่ยวแบบโฉบไปโฉบมาตามโปรแกรมของบริษัททัวร์ ก็ยังประทับใจไม่น้อย สิ่งแรกที่สะดุดหูตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินเลยก็คือคำขวัญประจำจังหวัดกระบี่ครับ<br />
<div style="text-align: center;"><blockquote><i>กระบี่เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก</i></blockquote></div><div style="text-align: left;">สั้นโดนใจดีไหมครับ แม้จะผิดวัตถุประสงค์ของคำขวัญไปบ้าง แต่คำขวัญประจำจังหวัดหลาย ๆ จังหวัดก็ยืดยาวเกินไปจนน่าหมั่นไส้ เจอคำขวัญสั้น ๆ ที่เน้นความสำคัญของ "คน" บ้างก็กระตุกให้เราได้คิดอะไรบ้างเหมือนกัน</div><div style="text-align: left;"></div><div style="text-align: left;">ในการเที่ยวครั้งนี้ ทางบริษัทก็ได้พาไปไหว้ศาลพระนางที่อ่าวพระนางด้วยครับ มัคคุเทศก์ที่นำไปก็เล่าตำนานอ่าวพระนางให้ฟังกันโดยสังเขปดังนี้ครับ</div><blockquote><div style="text-align: left;"><i>ในสมัยโบราณมีตายายคู่หนึ่งอยู่กินกันมานานไม่มีลูก จึงไปบนบานศาลกล่าวกับพญานาค พญานาคมีเงื่อนไขว่าหากลูกที่เกิดมาเป็นลูกสาว ตากับยายจะต้องยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของพญานาค</i> ตากับยายก็รับคำ</div></blockquote><blockquote><div style="text-align: left;"><i>ในเวลาต่อมายายก็ตั้งท้องและคลอดลูกออกมาเป็นเพศหญิงให้ชื่อว่านาง เมื่อนางเติบโตขึ้นเป็นสาวก็มีชายหนุ่มมาขอแต่งงาน ตากับยายลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับพญานาคจึงยกลูกสาวให้</i></div></blockquote><blockquote><div style="text-align: left;"><i>ชายหนุ่มจึงจัดขบวนขันหมากมาใหญ่โตมารับหญิงสาว ขบวนขันหมากผ่านชายหาดเสียงดังครึกครื้น พญานาคจึงขึ้นมาดูและรู้ว่าตากับยายผิดสัญญา จึงขึ้นมาแย่งชิงเจ้าสาว ข้างมนุษย์ก็ไม่ยอมง่าย ๆ จึงต่อสู้กันวุ่นวาย</i></div></blockquote><blockquote><div style="text-align: left;"><i>ในบริเวณนั้นมีฤษีที่บำเพ็ญตบะอยู่ ได้ยินเสียงวุ่นวายจึงออกมาห้าม แต่ก็ไม่มีใครฟัง ฤษีจึงสาปให้ทุกคนกลายเป็นหิน คนที่หนีไม่ทันและข้าวของที่กระจัดกระจายตอนต่อสู้กันจึงกลายเป็นถ้ำ เป็นเกาะต่าง ๆ เช่นเรือนหอกลายเป็นถ้ำพระนาง พญานาคเองหนีไม่ทันหมดโดนสาปที่ปลายหางกลายเป็นหินซึ่งชาวบ้านเรียกว่าหงอนนาคเป็นต้น</i></div></blockquote><blockquote><i>นางนางก็เสียใจที่เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายดังนี้ขึ้น จึงปวารณาตัวที่จะบำเพ็ญให้คนสมหวัง ชาวบ้านจึงนิยมมาบนบานศาลกล่าวกับศาลพระนางที่บริเวณหน้าถ้ำพระนางนี่เอง เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะหากใครมาขอลูกมักจะสมหวัง</i> </blockquote><div style="text-align: left;">ใครที่สนใจตำนานโดยละเอียดและพิศดาร สามารถอ่านได้จาก <a href="http://andamanthai.blogspot.com/2008/04/blog-post_01.html">http://andamanthai.blogspot.com/2008/04/blog-post_01.html</a> ครับ </div><div style="text-align: left;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTAPVASzEsOiDkLYmoOMNA_g752eBf5Icx_S0rVclapSMg4_5GenSWpTSS2vN-zKezNWYPr4w06DjWLt_JxHG3f_h6v6fSrzP8lBLuf9zf4oxD5lqp7s90awF6hZWjwiuTevpU/s1600/L500803135053.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTAPVASzEsOiDkLYmoOMNA_g752eBf5Icx_S0rVclapSMg4_5GenSWpTSS2vN-zKezNWYPr4w06DjWLt_JxHG3f_h6v6fSrzP8lBLuf9zf4oxD5lqp7s90awF6hZWjwiuTevpU/s200/L500803135053.jpg" width="139" /></a></div><br />
<img alt="" border="0" height="1" src="http://www.assoc-amazon.com/e/ir?t=ktlinux-20&l=as2&o=1&a=0307474275&camp=217145&creative=399353" style="border: medium none ! important; margin: 0px ! important;" width="1" /><br />
ในการเที่ยวครั้งนี้ผมได้พกหนังสือไปด้วย 2 - 3 เล่ม หนึ่งในนั้นคือ <a href="http://www.matichonbook.com/index.php?mnuid=5&selmnu=500803135053">ฝรั่งคลั่งผี เขียนโดย ไมเคิล ไรท์ สำนักพิมพ์มติชน</a> ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะเกี่ยวกับ การเชื่อมโยงตำนานกับมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ การแปลงสัญลักษณ์เมื่อเกิดศาสนาใหม่ขึ้นมาในประวัติศาสตร์และการตีความตำนานโบราณ การศึกษาการแปลงสัญลักษณ์โบราณเพื่อซ่อนความหมายดั้งเดิมนี้เรียกว่า Iconology หรือ Iconography ครับ<br />
<br />
<label id="showTextCategoryLinkPreview_l1"> (See all </label><a href="http://www.amazon.com/Suspense-Thrillers-Mystery-Books/b/ref=as_li_tf_il?ie=UTF8&tag=ktlinux-20&linkCode=as2&camp=217145&creative=399357&creativeASIN=0307474275&ie=UTF8&node=10495">Suspense Thrillers Books</a>)<br />
<a href="http://www.amazon.com/gp/product/0307474275/ref=as_li_tf_il?ie=UTF8&tag=ktlinux-20&linkCode=as2&camp=217145&creative=399353&creativeASIN=0307474275" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://ws.assoc-amazon.com/widgets/q?_encoding=UTF8&Format=_SL160_&ASIN=0307474275&MarketPlace=US&ID=AsinImage&WS=1&tag=ktlinux-20&ServiceVersion=20070822" /></a><br />
อันที่จริงศาสตร์นี้อาจจะฟังแปลกหูนะครับ แต่ว่าคนจำนวนมากได้รู้จักศาสตร์นี้แล้วผ่านนิยายและภาพยนตร์เรื่อง <a href="http://www.amazon.com/gp/product/0307474275/ref=as_li_tf_tl?ie=UTF8&tag=ktlinux-20&linkCode=as2&camp=217145&creative=399349&creativeASIN=0307474275">The Da Vinci Code</a><img alt="" border="0" height="1" src="http://www.assoc-amazon.com/e/ir?t=ktlinux-20&l=as2&o=1&a=0307474275&camp=217145&creative=399349" style="border: medium none ! important; margin: 0px ! important;" width="1" /> ของ แดน บราว์ ไงครับ เมื่ออ่านแล้วพอฟังตำนานเรื่องอ่าวพระนาง ก็นึกอยากจะลองตีความตำนานนี้ดูเหมือนกันว่าเล่าเรื่องอะไร ซ่อนเรื่องอะไร (ออกตัวไว้ก่อนว่าอ่านหนังสือเล่มเดียว จะแปลถูกนั้นคงยาก ถือว่าหัดดูก็แล้วกัน)<br />
<br />
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่าตำนานคือเรื่องเล่าขานกันมาแต่โบราณหลายชั่วรุ่นคน ดังนั้นเนื้อเรื่องต้นฉบับโดยละเอียดนั้นไม่มีแน่นอน แต่โครงเรื่องจะไม่<br />
<div style="text-align: left;"><img alt="" border="0" height="1" src="http://www.assoc-amazon.com/e/ir?t=ktlinux-20&l=as2&o=1&a=0307474275&camp=217145&creative=399357" style="border: medium none ! important; margin: 0px ! important;" width="1" /></div>เปลี่ยน โครงเรื่องของตำนานเรื่องนี้คือ<br />
<blockquote><i>ตายายขอลูกกับพญานาค พญานาคให้ตายายมีลูกสาวสมใจแต่พญานาคจะขอไปเป็นเมียเมื่อโตขึ้น พอสาวเจ้าโตขึ้นตายายไปยกให้คนอื่น พญานาคมาทวงก็เลยสู้กันวุ่นวาย ฤษีมาเตือนก็ไม่ฟังเลยสาปให้เป็นหินให้หมด</i></blockquote>โครงเรื่องมีเท่านี้เองครับ ถ้าใครอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นบ่อย ๆ ก็จะเจอตำนานคล้าย ๆ กันแต่เปลี่ยนพญานาคเป็นกัปปะ ตอนจบต่างกันนิดหน่อย โครงเรื่องแบบนี้ลองตีความดูก็อาจจะได้ดังต่อไปนี้ครับ<br />
<br />
ในสมัยโบราณมนุษย์ยังนับถือผีอยู่ ในบางพื้นที่อาจมีการบูชายัญ โดยเฉพาะพื้นที่ริมทะเล ซึ่งจะมีตำนานลักษณะคล้าย ๆ กันทั่วโลก เช่นการบูชายัญนางอันโดรเมดราเป็นต้น ในพื้นที่จังหวัดกระบี่โบราณอาจจะไม่ต่างกัน และในกรณีนี้ผู้ถูกบูชายัญน่าจะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ การบูชายัญนี้ก็เพื่อให้ไม่เกิดภัยพิบัติ ให้คลื่นลมสงบ ให้การประมงบริบูรณ์ การบูชายัญอาจกระทำโดยการโยนลงทะเล ตรงหน้าผาตรงอ่าวพระนาง ถ้ำพระนางนั่นแหละครับ คลื่นลมแรงมิใช่น้อย <br />
<br />
เป็นธรรมดาที่ไม่มีใครอยากจะตาย ไม่มีใครอยากจะเสียลูก ดังนั้นก็น่าจะมีเจ้าพิธีและคนในชุมชนสุ่มเลือกกันตามรอบเวลา อาจเป็นทุกปี หรือทุก 12 ปี ก็ไม่รู้ ลูกสาวของตากับยายก็โดนเลือก แต่ตากับยายตั้งใจว่าจะจับให้ลูกสาวแต่งงานไปเสียก่อน จะได้ไม่เป็นสาวบริสุทธิ์ สิ้นคุณสมบัติการเป็นเหยื่อบูชายัญเสีย แต่ทางเจ้าพิธี (ตัวแทนพญานาค) รู้แกวเสียก่อนจึงยกพวกมาชิงตัวเจ้าสาว พิธีจึงระงับไป<br />
<br />
อันนี้อยากจะขยายความเล็กน้อยว่า หากเป็นคนในชุมชนเดียวกัน ย่อมมีความเชื่อไม่ต่างกัน ดังนั้นคนที่จะมาแต่งงานกับเจ้าสาวคงจะเป็นต่างชุมชน และคงจะต่างศาสนาด้วย อาจเป็นฮินดู ซึ่งสังเกตจากชื่อของชายหนุ่มชื่อ "บุญ" (ศาสนาใหม่?) พ่อชื่อ "ตาวาปราบ" (คนของรัฐ?) แม่ชื่อ "บามัย" (แขก?) อาจเป็นไปได้ด้วยว่าศาสนาใหม่กำลังปะทะกับศาสนาเก่าอยู่ ณ เวลานี้<br />
<br />
อาจเป็นเคราะห์ร้าย ในเวลานั้น (หรือในช่วงเวลาที่ใกล้ ๆ กัน) เกิดภัยพิบัติอาจจะเป็นคลื่นยักษ์ (พญานาคสะบัดหาง) อาจจะเป็นพายุใหญ่ หรืออาจจะเป็นแผ่นดินไหวขึ้นแก่หมู่บ้าน เกิดผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก หญิงสาวเสียใจเพราะคิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุ จึงกระโดดจากหน้าผาบูชายัญตนเอง ณ ที่นั้น<br />
<br />
แม้หลังจากนั้นศาสนาใหม่อาจเข้าสู่ชุมชน ชักนำให้คนเลิกบูชายัญเป็นผลสำเร็จ (หลายชั่วคน) แต่ชาวบ้านก็ยังบูชาหญิงสาวอยู่ ไม่ใช่เพราะการบูชายัญแต่เพราะความเสียสละประกอบกับเรื่องมันเศร้ากินใจ จึงให้ความเคารพบูชา และเล่าเรื่องต่อ ๆ กันมาก็เป็นไป<br />
<br />
สนุกไหมครับ การตีความตำนานพื้นบ้าน ขอย้ำว่าเป็นการหัดตีความจากการอ่านหนังสือเล่มเดียวเท่านั้นนะครับ ไม่ถูกหลักวิชา ขออย่ายึดถือเป็นจริงเป็นจังไป</div>jarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-63267383166095698482011-03-04T22:17:00.001+07:002011-07-02T16:58:22.048+07:00ปัญหาของระบบการศึกษาของเรา<u><b>บอกกันก่อน</b></u> ว่านี่คือความคิดเห็นส่วนตัวของผม แลกเปลี่ยนกันได้ แบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์กันได้ เมื่อผมรู้อะไร ๆ มากขึ้น ความคิดผมก็อาจเปลี่ยนได้ ผมไม่ดื้อหรอกครับ เฮอะ เฮอะ <br />
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- <br />
เรื่องของเรื่องก็คือเมื่อสักสัปดาห์ที่แล้วได้พูดคุยกับรุ่นพี่ที่เคารพท่านหนึ่งเกี่ยวกับระบบการศึกษาของเรา หลังจากนั้นก็นำมาคิดต่อและได้ข้อสรุปในใจที่อยากจะบันทึกไว้ ผมคิดว่าปัญหาของการศึกษาของเราเกิดจากสาเหตุไม่กี่ประการ ได้แก่<br />
<ol><li>ผู้มีความรู้ และมีอำนาจ ท่านมีความสามารถระบุสาเหตุของปัญหาได้ถูกต้อง แต่เวลาจะแก้ปัญหาไม่แก้ที่ต้นเหตุ คอยแต่จะออกกฏออกระเบียบต่าง ๆ มาแก้ที่ปลายเหตุ</li>
<li>ขาดความเป็นตัวของตัวเองในการแก้ปัญหา</li>
<li>ใคร ๆ ก็อยากทำงานใหญ่ ๆ ไม่มีใครใส่ใจกับงานเล็ก ๆ ที่มีความจำเป็นอย่างแท้จริง </li>
<li>คิดว่ากรุงเทพฯ คือประเทศไทย ประเทศไทยคือกรุงเทพฯ </li>
<li>ดื้อ </li>
</ol>ผมอยากจะระบายความรู้สึกในประเด็นต่าง ๆ ข้างต้นดังต่อไปนี้<br />
<br />
<u><b>การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยใช้อำนาจ</b></u><br />
ผู้บริหารในระบบการศึกษาเท่าที่ผมได้รับผลกระทบโดยตรง (จากรัฐบาล จากกระทรวงศึกษา จาก กพร. จาก สกอ. จากสภาวิศวกร จากมหาวิทยาลัย จากคณะฯ และจากภาควิชาฯ) มักจะมองปัญหาเล็ก ๆ เป็นเรื่องใหญ่เกินจริง ยินดีใช้เวลาและทรัพยากรไปกับการออกกฏระเบียบมาเพื่อ "กลบฝัง" สิ่งที่ท่าน ๆ ทั้งหลายไม่ต้องการจะเห็น เช่น<br />
<ul><li>ไม่อยากจะเห็นนักศึกษาเอาแต่เรียน จึงออกระเบียบมาบังคับให้นักศึกษาต้องทำกิจกรรม บางมหาวิทยาลัยบังคับให้ทำกิจกรรมไม่ได้ จะเป็นเพราะนักศึกษาไม่ยอมหรือท่านอายเองก็เหลือจะเดา ท่านก็เลยแอบเอาไปไว้ในหลักสูตรเป็นวิชาหนึ่งไปเสียเลย ท่านแน่ใจหรือครับว่าท่านแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแล้ว?</li>
<li>ไม่อยากจะเห็นนักศึกษาเรียนและรู้แต่เฉพาะวิชาชีพของตน อยากให้นักศึกษามีความรู้รอบตัวกว้างขวาง จึงออกระเบียบให้ต่อไปนี้เป็นต้นไป ทุกหลักสูตรจะต้องมีรายวิชาศึกษาทั่วไปรวม 30 หน่วยกิต เบียดรายวิชาชีพไป 1 ภาคการศึกษา ท่านแน่ใจหรือครับว่าท่านแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแล้ว? (อยากจะถามด้วยซ้ำไปว่าท่านแน่ใจหรือครับว่าท่านไม่ได้สร้างปัญหาอื่นขึ้นมาอีก)</li>
<li>สภาวิชาชีพเป็นห่วงว่าจะมีสถาบันการศึกษา ลักไก่ขออนุมัติหลักสูตรที่สถาบันไม่พร้อมจะสอน ท่านเลยเพิ่มระเบียบให้เข้มข้นขึ้นคือเพิ่มวิชาบังคับมันซะเลย เอ๊ะ!!?? ไอ้ที่มันลักไก่อยู่ได้นี่เพราะระเบียบมันไม่เข้มข้นเหรอครับ คนตรวจสถาบันก็ตัวท่านเองนะครับ ท่านไม่อยากให้ลักไก่ท่านก็ตรวจดี ๆ ซิครับ ท่านแน่ใจหรือครับว่าท่านแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุแล้ว?</li>
<li>อาจารย์มีตำแหน่งวิชาการจำนวนน้อย อยากจะเพิ่มจำนวน ผศ. รศ. สนับสนุนมันยากครับ บังคับกันง่ายกว่า ใครที่เป็นพนักงาน ถ้าไม่ทำให้เรียบร้อยภายใน 8 ปี จะไม่ต่อสัญญา ผมมองเห็นความหวังดีอยู่ แต่ว่าการที่อาจารย์ไม่ได้ขอตำแหน่งวิชาการนี่มีสาเหตุจากอะไรกันแน่ครับ แล้วไอ้การออกเป็นกฏออกมานี่มันแก้อะไรที่ต้นเหตุบ้างหรือเปล่า อันนี้ก็ยังสงสัยอยู่ครับ</li>
</ul>ถ้ามองในแง่ดีนะครับ ก็มองว่าคณะผู้มีอำนาจอาจยังไม่ทราบว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไรและเหตุของมันคืออะไร ถ้ามองในแง่ร้าย ก็มองได้ว่าอันที่จริงอะไรเป็นอะไรนั้นทราบดีอยู่ แต่ท่าน ๆ มีวาระซ่อนเร้น มีผลประโยชน์แอบแฝง จึงทำเป็นมองไม่เห็นว่า กฏ ระเบียบ ที่ออกมาบังคับใช้นั้น มันไม่ได้แก้ปัญหา แต่มันสร้างปัญหาเพิ่ม ท่านครับ คนเราเกิดมาเดี๋ยวก็ตายแล้ว ท่านปู้ยี่ปู้ยำกับระบบการศึกษาของประเทศโดยมีวาระซ่อนเร้น มีเด็ก ๆ ได้รับผลกระทบมากมาย บางอย่างมีผลกับอนาคตของเขาอย่างมาก ท่านไม่กลัวบาปกลัวกรรมหรือครับ?<br />
<br />
<u><b>ขาดความเป็นตัวของตัวเอง</b></u><br />
ผู้บริหารในระบบการศึกษาเท่าที่ผมได้รับผลกระทบโดยตรง (จากรัฐบาล จากกระทรวงศึกษา จาก กพร. จาก สกอ. จากสภาวิศวกร จากมหาวิทยาลัย จากคณะฯ และจากภาควิชาฯ) มักจะนิยมใช้เครื่องมือตามสมัยนิยม (จากต่างประเทศ) โดยไม่ใตร่ตรองว่ามันใช้การได้จริงในวัฒนธรรมการทำงานของสังคมของเราหรือไม่ เช่น<br />
<ul><li>ท่านเห็นว่านักศึกษาอ่อนภาษาอังกฤษ ท่านอยากให้นักศึกษาเก่งภาษาอังกฤษขึ้น ท่านเลยจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ ทั้ง ๆ ที่หลักสูตรไม่ใช่หลักสูตรในภาษาอังกฤษ ท่านแน่ใจหรือครับว่านักศึกษาของเราอ่อนภาษาอังกฤษ?</li>
</ul><br />
ผมคิดว่านักศึกษาไม่ได้อ่อนแต่เฉพาะภาษาอังกฤษครับท่าน นักศึกษาของเราอ่อนภาษาไทยด้วย ถ้านักศึกษาไม่สามารถอ่านภาษาไทยและจับใจความสำคัญให้ได้ ไม่สามารถเรียบเรียงประโยคภาษาไทยได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล เราไปให้เขาขนเรียนภาษาอังกฤษไป 9 หน่วย 12 หน่วย จะมีประโยชน์อันใดครับ?<br />
ผมคิดว่าก่อนจะเป็นบัณฑิตที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีนั้น เขาจะต้องเป็นบัณฑิตที่ใช้ภาษาคนให้ได้ดีก่อนครับ ดังนั้นผมจึงขอเสนอว่าถ้าจะบังคับเรียนภาษาอังกฤษ สู้บังคับเรียนภาษาไทยดีกว่า เหมือนที่เวลาท่าน ๆ ทั้งหลายไปเรียนเมืองนอกแล้วก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการเขียนนั่นแหละครับ ฝรั่งเขาก็มาเรียนกับท่านด้วยใช่ไหมเล่า<br />
<ul><li>ท่านเห็นว่าเดี๋ยวนี้มี e-Learning ใช้กัน ท่านก็เลยอยากให้อาจารย์ใช้ e-Learning กันมั่ง โชคยังดีว่าตอนนี้แค่ "สนับสนุน" ให้ใช้ แต่เผลอ ๆ จากประสบการณ์ เดี๋ยวก็บังคับกันจนได้ว่าทุกวิชา "ต้อง" มี e-Learning ไม่ว่ามันจะจำเป็นหรือไม่ มีประสิทธิผลหรือไม่ เหมาะสมกับแนวทางการสอนของอาจารย์หรือไม่</li>
</ul>ผมคิดว่าจะ e-Learning จะ Social Media จะ Student Center จะ Project Based จะ Problem Based จะ KPI จะวิจัยในชั้นเรียน สุดท้ายมันก็แค่เครื่องมือครับ ไม่มากไปกว่านั้น ไม่น้อยไปกว่านั้น<br />
<br />
ผมได้มีโอกาสอ่านประวัติคณาจารย์รุ่นเก่าหลาย ๆ ท่านที่เกษียณอายุราชการไป แล้วลูกศิษย์ลูกหาก็ช่วยกันทำหนังสือที่ระลึกให้อาจารย์ สิ่งที่ท่านลงมือทำมาตั้ง 30 - 40 ปีมาก่อน สอดคล้องกับแนวทางการศึกษาสมัยใหม่ทุกประการ แต่ท่านก็ใช้เครื่องมือตามยุคสมัย ตามความพร้อม ตามความเหมาะสม และที่สำคัญคือ<u><b> ทำด้วยหัวใจและวิญญาณของคนเป็นครู</b></u> ไม่ใช่ว่าพอมีอะไรใหม่เข้ามาปั๊บ จะต้องกระโดดใส่ทันที กระโดดใส่คนเดียวไม่พอ ยังต้องบังคับให้คนอื่นทำเหมือน ๆ กันด้วย (ฉันจะได้เป็นผู้นำ?)<br />
<br />
ผมคิดว่าการกะเกณฑ์ให้ใครต่อใครมาเดินตามเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งเส้นทางเดียว มันกัดกร่อนจิตใจและวิญญาณของครูลงไป เพราะอิสระมันไม่มี มันก็กัดกร่อนจนหมด หมดแล้วก็กลับมาตำหนิครูอีก ว่าไม่มีวิญญาณความเป็นครู ไม่ทุ่มเทการสอน ... โอ้โหเพ่ ดูมั่งเด่ะ ว่าให้อิสระเขาในการสอนขนาดไหน ขนอะไรที่เขาไม่รู้จัก ไม่ชิน ไม่เหมาะ ไปให้เขาทำมั่งล่ะ ถ้าไม่ทำก็จะเสียโอกาส<br />
<br />
ถึงบรรทัดนี้ บางคนอาจนึกแย้งในใจว่า เอ๊ะ เขาก็ไม่ได้บังคับนี่นา ผมมีอคติเกินไปหรือเปล่า อืม...อาจจะใช่ก็ได้ครับ คือว่าผมน่ะมีความคิดอย่างนี้ครับ<br />
<ul><li>ตอนนี้ไม่บังคับ รอสักพัก เผลอ ๆ เดี๋ยวก็บังคับ</li>
<li>ตอนนี้ไม่บังคับทางตรง แต่ก็ถือว่าบังคับทางอ้อม เช่น คนที่ไม่ได้ใช้เครื่องมือตามนี้ ๆ (เช่น e-Learning) เวลาถูกประเมิน ก็จะได้คะแนนต่ำกว่าคนที่มี ส่วนคนที่ไม่มี เขาจะใช้แนวทางอื่น หรือเครื่องมืออื่น ก็อาจจะได้รับน้ำหนักน้อย หรือไม่มีน้ำหนักเลยก็ได้ อย่างนี้ไม่บังคับก็เหมือนบังคับ เพราะถ้าไม่ทำตาม ก็จะได้รับโอกาสน้อยกว่าคนอื่น ๆ</li>
</ul>เครื่องมือก็คือเครื่องมือ ผมคิดว่าครูบาอาจารย์ท่านน่าจะได้รับอิสระที่จะเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับแนวทางการเรียนการสอนของท่าน โดยไม่สูญเสียโอกาสอันเนื่องจากการไม่เลือกเครื่องมือที่กำหนด เพื่อให้จิตวิญญาณของครูไม่ถูกกัดกร่อนไปด้วยระบบการประเมินที่คับแคบ ไม่รอบด้าน ไม่เป็นธรรม และขาดความเป็นตัวของตัวเอง<br />
<ul><li>มีบทความวิจัยน้อย เลยกำหนดมันซะเลยว่าจะจบโทต้องมีกี่เปเปอร์ จะจบเอกต้องมีกี่เปเปอร์ เอาเปเปอร์เป็นตัวตั้ง</li>
</ul>เรื่องตลกก็คือพอมหาวิทยาลัยมันเยอะขึ้น สนามที่จะให้เปเปอร์ออกมันไม่พอ ก็เลยจัดพิมพ์วารสารขึ้นมาเอง จัดงานประชุมวิชาการขึ้นมากันเองซะเลย จะดันออกนอกประเทศก็ไม่ได้เพราะคุณภาพมันเท่าเดิม ก็เลยมีวารสารวิชาการ ประชุมวิชาการเยอะแยะไปหมด<br />
<ul><li>ซ้ำร้าย การประเมินมหาวิทยาลัย ก็มีหัวข้อว่าด้วยการจัดประชุมวิชาการระดับชาติและระดับนานาชาติมาเป็นตัววัดเพิ่มเข้าไปอีก (ไม่มีไม่ได้...อายเค้า)</li>
</ul>เราก็เลยมีประชุมวิชาการระดับชาติและระดับนานาชาติเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด เรามีมหาวิทยาลัยเป็นร้อยมหาวิทยาลัย ทุกมหาวิทยาลัยก็อยากได้ผลประเมินสูง ๆ ทุกคนก็เลยจัดกันคนละงานสองงานเป็นประจำทุกปี ดู ๆ ไปแล้วก็ครึกครื้นดีนะครับ<br />
<br />
<u><b>งานเล็ก ๆ ไม่ งานใหญ่ ๆ เอา</b></u><br />
ด้วยวิธีการประเมินแบบที่ผมวิจารณ์ไว้ข้างต้น เราได้สร้างบุคลากรอีกประเภทหนึ่งขึ้นมา ก็คือบุคลากรที่คอยมองว่า ประเด็นหรือหัวข้อการประเมินคืออะไร แล้วก็จะ ทำตามที่เขาจะประเมิน บุคลากรส่วนนี้ก็จะไม่ยินดีทำงานที่จำเป็นต้องมีคนทำ (แต่ไม่เกี่ยวกับการประเมิน)<br />
<ul><li>ถ้าการประเมินเน้นวิจัย ท่านก็จะไปวิจัย</li>
<li>ถ้าการประเมินบอกว่าต้องมี e-Learning ท่านก็จะสร้าง e-Learning</li>
<li>การประเมินไม่ได้บอกว่าท่านต้องจัดกิจกรรมให้เด็ก ๆ (ซึ่งถูกมหาวิทยาลัยบังคับให้ทำตามกำหนด) ท่านก็จะปฏิเสธงานกิจกรรม</li>
<li>การประเมินไม่ได้บอกว่าท่านต้องช่วยงานอื่น ๆ ของคณะ เช่นกรรมการดูงาน กรรมการฝึกงาน กรรมการซ้อมบัณฑิต กรรมการพิจารณาทุนการศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษาชมรม ท่านก็จะปฏิเสธงานเหล่านั้น</li>
</ul>ผมคิดว่าองค์กรทั้งหลาย จะตั้งดำรงอยู่ได้และจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน งานทั้งเล็กและใหญ่ล้วนสำคัญทั้งสิ้น ผมคิดว่า ใด ๆ แตกต่างกันด้วยรายละเอียด คิดโปรเจ็คพันสองร้อยล้านมันไม่ยากหรอกครับ มันยากตอนทำจริง ๆ และต้องแก้ปัญหาในรายละเอียดนั่นแหละ แต่รายละเอียดพวกนี้มันงานเล็กครับ ถ้าท่าน ๆ มาทำเองมันคงจะเสียเวลาท่านสินะครับ<br />
<br />
<u><b>กรุงเทพฯ คือประเทศไทย</b></u><br />
ตามนั้นเลยครับ<br />
<ul><li>คิดว่าเด็ก ๆ ทุกคนเข้าถึงอินเตอร์เนตได้โดยสะดวก เชิญมาต่างจังหวัดบ้างนะครับ</li>
<li>คิดว่าโรงเรียนมีความพร้อมเหมือนโรงเรียนในเมือง ผมเคยไปเยี่ยมโรงเรียนหนึ่ง ทั้งโรงเรียนมีครูอยู่ 7 คน ผมจำไม่ได้ว่าสอนกี่ชั้น แต่ครูทุกคนต้องช่วยกันทำทุกอย่าง ตั้งแต่บัญชีครุภัณฑ์ รายรับรายจ่าย ประกันคุณภาพ กิจกรรมนักเรียน อาหารกลางวัน ดูแลห้องคอมพ์ (บริจาค) ฯลฯ มีอยู่วันหนึ่งนั่งดูรายการโทรทัศน์ นักวิชาการการศึกษามาพูด "สับ" ครูในห้องส่งว่า ครูมักง่าย สอนแบบขนมชั้น จบไปเป็นแถว ๆ ไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ใช้ศักยภาพของตนเองเต็มที่ ผมยังนึก ๆ อยู่ว่าคนพูดนี่เคยออกมาสอนนอกกรุงเทพฯ บ้างหรือเปล่า ออกมาแล้วไม่ต้องไปถึงโรงเรียนชนบทไกล ๆ หรอก เอาแค่โรงเรียนประจำอำเภอเล็ก ๆ ก็ได้ อย่าไปโรงเรียนดัง ๆ หรือโรงเรียนประจำจังหวัด แล้วท่านจะได้รู้ว่ามันเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ท่านทั้งหลายเป็นคนกำหนดให้ครูเขาเองนี่แหละ</li>
</ul><u><b>ดื้อ</b></u><br />
ถ้าได้ลองเลือกให้ทำอะไรลงไปแล้ว ต่อให้มันเห็นชัดขนาดไหนว่าไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ก็ไม่เลิกง่าย ๆ ครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อันนี้เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกนะครับ<br />
<br />
<u><b>แล้วผมคิดยังไง?</b></u><br />
ผมคิดว่าการเรียนการสอนของเรามันผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวไปหมด มันควรจะเหมือนปิระมิด คือ<br />
<ul><li>ระดับต้น สอนให้รู้ถูกผิดดีชั่ว ให้รู้จักสังคม ให้รู้พื้นฐานกว้าง ๆ</li>
<li>ระดับกลาง เปิดโอกาสให้เขาได้ทดลองในทุก ๆ อย่าง พอปลาย ๆ ก็ให้เขาพัฒนาตนเองตามความถนัด จากนั้นค่อยไปเลือกในระดับสูง</li>
<li>ระดับสูง เข้มข้นที่เนื้อหาเฉพาะด้าน เพื่อพัฒนาในสิ่งที่เขาเลือกแล้วให้ดีที่สุด</li>
</ul>แต่จากมุมมองของผม ผมกลับเห็นว่าเราทำกันอีกแบบ เหมือนกับนาฬิกาทรายคือ<br />
<ul><li>ระดับต้น สอนให้รู้ถูกผิดดีชั่ว ให้รู้จักสังคม ให้รู้พื้นฐานกว้าง ๆ (ดีแล้วครับ) แต่ใช้ปัญหาระดับทดสอบไอคิวมาใช้ ผมเคยเจอการบ้านเด็ก ป. 5 หลังมหาวิทยาลัยมีเรื่องลำดับและอนุกรมแล้วนะครับ อันนี้เจอกับตัวเลย ทั้งกว้าง ทั้งลึก นึกไม่ออกว่าจะสอนยังไง พ่อแม่ขายข้าวแกงก็ช่วยไม่ได้ นี่ใช่ผลที่คาดหวังเวลาเอาเรื่องพวกนี้มาสอนหรือเปล่า</li>
<li>ระดับกลาง แยกสายวิทย์ สายศิลป์ เหมือนจะตีกรอบมาให้ค่อนข้างแคบในด้านการเรียนการสอน แต่พอประเมินก็มาใช้ทางกว้างอีก</li>
<li>ระดับสูง อยากให้เขาเรียนรู้ชีวิตครบทุกอย่าง สายวิทย์ต้องเรียนศึกษาทั่วไปของสายศิลป์ สายศิลป์ต้องสอบวัดระดับความรู้คอมพิวเตอร์ของสายวิทย์ กว้างออกมาอีก</li>
</ul>ผมคิดว่าเด็กจะเรียนตามที่เราประเมินเขา<br />
<ul><li>สำหรับนักเรียนแล้ว คนที่จะประเมินเขาในปลายทางสุดท้ายคือ เงินเดือนจากผู้ประกอบการครับ ถ้าเราแก้ปัญหาช่องว่างอัตราเงินเดือนระหว่างวิชาชีพไม่ได้ ถ้าเด็กเลือกได้เขาก็จะไหลไปเลือกเรียนวิชาชีพที่ให้เงินเดือนสูง ไม่เกี่ยวกับความชอบหรือความถนัดของเขาเลย ผลก็คือเราจะได้สังคมขาดความสมดุลในวิชาชีพ</li>
<li>ที่วิชาชีพปลายทางเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการเรียนของเด็ก ๆ ก็เพราะว่า เด็ก ๆ จะไปประกอบวิชาชีพปลายทางที่ต้องการได้ ก็ต้องสอบเข้าให้ได้ในคณะที่ต้องการ</li>
<li>ถ้าช่องว่างรายได้ระหว่างวิชาชีพลดลง อัตราการแข่งขันเพื่อสอบเข้าคณะยอดนิยมจะลดลง ความตึงเครียดจะลดลง และสัดส่วนเด็กที่เลือกเข้าคณะต่าง ๆ ก็จะสมดุลกัน เด็กจะได้เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบมากขึ้น การเรียนของเด็ก ๆ ก็จะมีความสมดุลและสอดคล้องกับบุคลิกภาพของเขามากขึ้น</li>
<li>ปัญหาพฤติกรรมการเลือกเรียน การเน้นกวดวิชาในบางวิชาจนการเรียนรู้เสียสมดุลย์ก็น่าจะลดน้อยลงไปในที่สุด</li>
</ul>ในทำนองเดียวกัน ผมคิดว่าครู-อาจารย์จะสอนอย่างที่เราประเมินเขา นั่นคือผมคิดว่าสิ่งสำคัญสำหรับคนที่เลือกวิชาชีพครู ก็คือการสอน ส่วนเครื่องมือนั้นจะใช้อะไรก็ได้ ดังนั้นการประเมินจึงควรประเมินประสิทธิผลการสอนเป็นหลัก โดยไม่น่าจะต้องไปสนใจว่ามีเครื่องมืออะไรหรือไม่แม้แต่น้อย<br />
<br />
และการประเมินประสิทธิผลการสอน ก็คือการประเมินนักเรียนนั่นแหละ เล็งกันที่วัตถุประสงค์การเรียนรู้ในแต่ละหัวข้อก็พอ ว่าสอนได้ตามที่กำหนดหรือเปล่า ว่ากันเป็นจุด ๆ ไปทีละจุด ๆ ไม่ควรจะต้องไปสนใจว่าเด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่ เพราะนั่นไม่ใช่เป้าหมายของการศึกษา<br />
<br />
อยากให้ย้อนกลับมาดูเป้าหมายการศึกษา แล้วประเมินตามนั้น อย่าเอาเรื่องที่ไม่ใช่เป้าหมายทางการศึกษาอย่างแท้จริงเข้ามาปะปนให้มันวุ่นวายจนละเลยเป้าหมายการศึกษาที่แท้จริงเลย<br />
<br />
แน่นอนว่าผมก็เห็นด้วยว่ามันไม่ง่ายเลย แต่ผมเชื่อว่ามันทำได้ถ้าเรา<br />
<ul><li>เลิกใช้อำนาจกลบปัญหาในปลายทาง แต่ใช้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุต้นทางอย่างแท้จริง</li>
<li>มีความเป็นตัวของตัวเองในการแก้ปัญหา เครื่องมือก็เป็นแค่เครื่องมือ ไม่มากไปกว่านั้น ไม่น้อยไปกว่านั้น</li>
</ul>แล้วก็ระดมสมองจากบุคลากรด้านการศึกษาทุกระดับ ทุกด้าน มาช่วยกันคิด ช่วยกันหาทางออก และจัดให้มีการปรับปรุงระบบอย่างสม่ำเสมอ (คืออย่าดื้อครับ ถ้ามันใช้ไม่ได้ก็อย่าดื้อ) ผมว่ามันน่าจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองครับjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-64673599995179188692011-02-21T13:00:00.001+07:002011-02-21T13:01:02.220+07:00วิธีการตรวจรายงานวิชาปฏิบัติการของอาจารย์ตรวจข้อสอบวิชาปฏิบัติการ (Lab) แล้วสงสัยว่าทำไมนักศึกษาได้คะแนนน้อยเกินความคาดหวัง ก็เลยหารือกับคณาจารย์และนักศึกษาที่รู้จัก ได้ความว่า<br />
<br />
นักศึกษาไม่เชื่อว่าอาจารย์ตรวจรายงานวิชาปฏิบัติการจริง เชื่อว่าอาจารย์ไม่ได้ตรวจแล้วก็สุ่ม ๆ คะแนนเอา (สมัยผมเรียนเราเรียกว่า "ปาเป้า") ก็เลยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวิชานี้เท่าใด ลองดูจากผลการตรวจรายงานของผม พบว่าไม่น่าแปลกใจที่นักศึกษาคิดอย่างนั้น เพราะรายงานของบางคนดูดีมีสกุลมาก แต่ได้คะแนนปานกลาง รายงานของอีกคนดูสกปรกไม่เรียบร้อย ก็ได้คะแนนปานกลาง บางคนได้คะแนนมากกว่าด้วยซ้ำ นักศึกษาไม่เข้าใจวิธีการตรวจงานของผมอาจเข้าใจเอาเองว่าผมปาเป้าให้คะแนน ซึ่งไม่เป็นความจริง <br />
<br />
เพื่อปรับความเข้าใจให้ถูกต้อง ผมจะอธิบายวิธีการตรวจรายงานปฏิบัติการของผมกัน<br />
<br />
ผมแบ่งคะแนนออกเป็น 4 ส่วนคือ<br />
1. รูปแบบ - องค์ประกอบ ความครบถ้วนเรียบร้อย 2 คะแนน<br />
2. รายงานก่อนเข้าปฏิบัติการ (Preliminary Report) 3 คะแนน<br />
3. ผลการทดลอง 2 คะแนน<br />
4. สรุปและอภิปราย 3 คะแนน<br />
<br />
ลองดูกรณีตัวอย่างต่อไปนี้<br />
<ul><li>คนที่ทำงานเรียบร้อย ส่ง Prelim ไม่ครบ ผลการทดลองครบ สรุปผิด จะได้คะแนน 2+1.5+2+1 = 6.5 คะแนน</li>
<li>คนที่ทำงานไม่เรียบร้อย ส่ง Prelim ครบ ผลการทดลองไม่ครบ สรุปพอใช้ได้ จะได้คะแนน 1.5+3+1+1.5 = 7 คะแนน</li>
<li>คนที่ทำงานเรียบร้อย ส่ง Prelim ครบ ผลการทดลองครบ แต่ลอกสรุปจากคนอื่นมา จะได้คะแนน 2+3+2+0 = 7 คะแนน</li>
<li>คนที่ทำงานเรียบร้อย ส่ง Prelim ครบ <u><b>ถ่ายเอกสารผลการทดลองมาส่ง</b></u> สรุปดี จะได้คะแนน 2+3+0+3 = <u><b>0 คะแนน</b></u> กรณีนี้น่าเสียดายมาก ๆ</li>
</ul><br />
จะเห็นได้ว่าผลงานต่างกัน แต่ได้คะแนนเท่ากันก็มี เนื่องจากทำดีคนละด้าน และแต่ละด้านก็มีคะแนนของมัน<br />
<br />
ในรุ่นก่อนมีคนได้ 10 แต้มเต็ม แต่ในรุ่นนี้ ยังไม่มีใครได้ 10 แต้ม ทุกคนเท่าที่ตรวจมาจะมีข้อบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งในต่อไปนี้คือ<br />
<ol><li>ผิดรูปแบบ (เช่นขูดลบขีดฆ่าไม่เรียบร้อยอย่างเห็นได้ชัดบนหน้าปก หรือขาดองค์ประกอบที่จำเป็นต้องมี)</li>
<li>ส่ง Prelim ไม่ครบ (Prelim มี 3 วงจร 6 การคำนวณ หลายคนทำมาแค่ 3 การคำนวณ)</li>
<li>ผลการทดลองไม่ครบ เช่นใน Section มี 15 กลุ่ม แต่ส่งผลการทดลองมาแค่ 13 กลุ่มโดยไม่มีคำชี้แจงใด ๆ หรือที่เลวร้ายกว่านั้นคือถ่ายสำเนาผลการทดลองมาส่ง ในกรณีหลังนี้จะได้ศูนย์คะแนนโดยไม่ต้องตรวจเรื่องอื่น</li>
<li>สรุปผิดยังได้ 1 แต้ม แต่ลอกสรุปจากคนอื่นผมให้ศูนย์แต้ม </li>
</ol>ผมอยากให้นักศึกษาเข้าใจว่าการตรวจรายงานเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญ ไม่มีใครปาเป้าตรวจงานหรอก แต่เกณฑ์การตรวจอาจไม่เหมือนกัน ในรายวิชาอื่น ๆ และอาจารย์ท่านอื่น ท่านก็คงมีแนวทางการตรวจงานต่าง ๆ กันไป ผมคงพูดแทนไม่ได้ แต่ว่ารายงานการทดลองนั้นองค์ประกอบสำคัญก็มีเพียง 3 ประการคือ<br />
<ol><li>แสดงวิธีการทดลอง - ทำอะไร</li>
<li>แสดงผลการทดลอง - ได้อะไร</li>
<li>การตีความผลการทดลอง - หมายความว่าอะไร</li>
</ol>ถ้าเราอ่านออกว่าความหมายที่แท้จริงของการทดลองนั้น ๆ คืออะไร ออกแบบมาเพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้อะไร นักศึกษาก็สามารถจะเขียนรายงานการทดลองที่ดีได้ไม่อยาก<br />
<br />
ผมหวังว่าการชี้แจงของผมนี้จะเป็นประโยชน์กับนักศึกษา เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการเขียนรายงานวิชาปฏิบัติการที่ดีต่อไปjarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-26571948400445286742010-12-30T22:45:00.000+07:002010-12-30T22:45:04.719+07:00He who can, does. He who cannot, teaches.<blockquote>He who can, does. He who cannot, teaches.</blockquote><div style="text-align: right;">George Bernard Shaw</div><div style="text-align: right;">1856 - 1950</div><div style="text-align: left;">ครั้งแรกที่ได้เห็นประโยคนี้จากเว็บบอร์ดรู้สึกโกรธคนเขียนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นคำที่ดูแคลนวิชาชีพครูอย่างรุนแรง ยิ่งทราบว่าคนเขียนก็เป็นครู ก็ยิ่งโมโห เรียกว่าขนาดวิชาชีพตนเองยังไม่นับถือ มันจะไปสอนดีได้อย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ได้ชอบประโยคนี้มากขึ้นเท่าไร</div><div style="text-align: left;"><br />
</div><div style="text-align: left;">หลังจากค้นคว้าข้อมูลเล็กน้อยทำให้ทราบว่า คนที่เขียนประโยคนี้ขึ้นมาครั้งแรกคือ George Bernard Shaw เป็นนักเขียนบทละคร(เวที?) และอาจเขียนอย่างอื่นด้วย ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1925 แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นกับประโยคนี้ขึ้นมาแม้แต่น้อย</div><div style="text-align: left;"><br />
</div><div style="text-align: left;">สิ่งที่ Shaw พูด น่าจะสะท้อนอคติที่มีต่อระบบการศึกษาสมัยใหม่เนื่องจากเขามีชีวิตอยู่ในรอยต่อแห่งยุคสมัย (1856 - 1950) ซึ่งคนรุ่นเขาคงจะเรียนรู้ทุกสิ่งจากการทำงาน ใช้เวลาในโรงเรียนไม่มาก และเขาอาจจะคิดว่าคนรุ่นหลังเขาใช้เวลาในโรงเรียนมากเกินไป ทั้ง ๆ ที่จบมหาวิทยาลัยแต่ก็ยังทำอะไรไม่เป็นก็เป็นได้ (หากตัดประเด็นดูแคลนวิชาชีพครูไปแล้ว ผมก็คล้อยตามทัศนคติต่อ "ระบบ" การศึกษาของเขาเหมือนกัน)</div><div style="text-align: left;"><br />
</div><div style="text-align: left;">อย่างไรก็ตามในงานพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร ผมได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบด้านซ้อมและจัดแถวบัณฑิต ในงานนี้ผมพบคำตอบที่ทำให้ผมไม่จำเป็นต้องสนใจคำพูดของ Shaw อีก นั่นก็คือเมื่อเห็นแถวบัณฑิตเดินขึ้นบันไดเข้าไปสู่อาคารกาญจนาภิเษก ภาพนั้นทำให้ผมได้ตระหนักว่า ผลงานของครูไม่ใช่สิ่งของ ไม่ใช่ตำรา ไม่ใช่หนังสือ แต่เป็นศิษย์ต่างหาก ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญเลยว่าเรา can do หรือ cannot do เรามีศิษย์ เป็นผลงานของเราเพราะเรา can teach ต่างหาก และไม่ใช่ทุกคนที่จะ can teach ได้ </div><div style="text-align: left;"><br />
</div><div style="text-align: left;">ดังนั้น Shaw ก็ Shaw เหอะ ... ไม่แคร์ (เฟ้ย) </div>jarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-70168564911451634502010-12-09T03:31:00.001+07:002010-12-09T03:38:39.248+07:00พันธะสัญญาจู่ ๆ ก็นึกถึงคำว่า Commitment ขึ้นมา... <br />
เหตุนั้นยาวสักหน่อย ซึ่งก็คือ<br />
วันนี้ต้องทำบางอย่างที่ไม่ได้อยากทำ แต่รับปากไว้แล้วก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ พอใจคิดถึงจุดนั้นก็เลยคิดไปถึงว่าเคยมีคนบอกว่าคนเราสร้างสมาธิได้ 4 ทางคือ <br />
<ol><li>ฉันทสมาธิ - คือสมาธิที่มีความพึงพอใจรักในงานนั้น ๆ เป็นตัวนำ พอใจมันจมลงไปกับงานแล้ว มันก็เกิดสมาธิขึ้น</li>
<li>วิริยสมาธิ - คือสมาธิที่มีความพากเพียรในงานนั้น ๆ เป็นตัวนำ (ข้อนี้ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร)</li>
<li>จิตตสมาธิ - คือสมาธิที่มีความตั้งใจในงานนั้น ๆ เป็นตัวนำ งานนี้อาจไม่ใช่งานที่ชอบก็ได้ แต่เป็นงานที่ได้รับมอบหมาย และบุคคลมีใจมุ่งมั่นว่าจะต้องทำให้สำเร็จ</li>
<li>วิมังสาสมาธิ - คือสมาธิที่มีปัญญา ความรู้ ความเข้าใจในงานนั้น ๆ ความคิดที่จะพัฒนางานนั้น ๆ และมองเห็นว่าจะพัฒนาอย่างไรเป็นตัวนำ หรืออธิบายง่าย ๆ ตามความเข้าใจของผมก็คือ พอคนมันรู้ว่าจะทำได้อย่างไร ก็ถือว่ามีปัญญา ถ้าคน ๆ นั้นมีความรู้สึกอยากลงมือทำตามความคิด ก็ถือว่าถ้าทำไปจนจมลงไปกับงาน ก็น่าจะนับว่าเป็นวิมังสาสมาธิได้</li>
</ol>ท่านว่าการสร้างสมาธิไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับ 1-2-3-4 ใครมีนิสัยอย่างไร ทำอย่างนั้น ที่เหลือจะตามมาเอง เช่นคนที่ยึดมั่นถือมั่นกับงานที่ได้รับมอบหมาย ต้องใช้วิริยะทำงาน ทำ ๆ ไป ก็เกิดปัญญาเห็นประโยชน์ของงาน เป็นลู่ทางในการแก้ปัญหาในการทำงาน ก็จะเกิดความพึงพอใจในการทำงานและในผลงานได้ เป็นต้น<br />
<br />
อาจเป็นเคยได้ยินเรื่องนี้มา และเราปักใจคิดว่าเราเป็นพวกจิตตสมาธิ ก็เลยยึดมั่นถือมั่นกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างมาก (แต่ไม่ใช่ว่าทำได้ดีทุกอย่าง งานหลายอย่าง เสร็จ แต่ไม่สำเร็จ) พอยึดติดมาก ๆ ก็เลยกลายเป็นนิสัย<br />
<br />
เช่นวันนี้ไปสอน ไม่มีนักเรียนมา ก็นั่งรอ ถ้าเป็นสมัยก่อน (ตอนที่ยังบ้า ๆ อยู่) สอนผีไปแล้ว ตอนนี้ใจเย็นลง ก็นั่งรอ อันที่จริงจะไม่ต้องรอก็ได้ แต่ก็ยึดติดว่าได้รับมอบหมายมาให้สอนห้องนี้ ไม่มาก็ต้องรอ เมื่อเดือนก่อน รับปากเขาว่าจะเขียนข้อเสนอโครงการวิจัยส่งให้ ก็ต้องเขียน อันที่จริงก็ไม่ใช่สาขาที่เชี่ยวชาญอะไร เมื่อรับปากไปแล้ว จู่ ๆ จะไม่ทำมันก็กระไรอยู่<br />
<br />
แต่จากที่ร่วมงานกับนักศึกษามาผมสังเกตดู หลาย ๆ งานเป็นนักศึกษาเสนอเองว่าอยากจะทำ พอทำ ๆ ไปสักพักก็เลิก ก็หาย ถ้าผมไม่บังคับให้ทำ หมายถึงปล่อยให้คิดเองทำเอง เลือกเอง จะมีส่วนน้อยที่เลือกที่จะทำงานนั้น ๆ จนสำเร็จ เราก็รู้สึกว่านักศึกษาขาดความยึดมั่นถือมั่นในงานที่รับผิดชอบไปสักหน่อย เวลาผ่านมาพอสมควร คือสอนมาหลายปีแล้ว ต่อไปก็คงจะต้องคัดกรองอย่างมากเวลาจะร่วมงานกับนักศึกษา<br />
<br />
เวลาเรียกมันว่าความยึดมั่นถือมั่นในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมันดูไม่ดีเนอะ ถ้าเรียกใหม่ว่า พันธะสัญญา หรือ Commitment ล่ะ ผมว่า Commitment นี่เป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งที่คนทำงานพึงมีเลยนะ คือ Commit ไปแล้ว รับปากไปแล้ว ต้องทำ จะเลิกง่าย ๆ ไม่ได้ ยกเว้นคอขาดบาดตายจริง ๆ<br />
<br />
ที่เขียนมาก็ไม่ใช่ว่าตนเองจะดีเลิศอันใด ในสมัยเรียน น่าจะสักปี 2 ได้ ก็เคยทิ้งงานเหมือนกัน ตอนนั้นไม่รู้สึกผิดอะไร ก็คิดว่ามันจำเป็นอย่างนั้น-อย่างนี้ พอเวลาผ่านไปก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา ที่แย่คือดันลืมไม่ได้และวก็ย้อนเวลาไม่ได้ ก็เลยต้องรู้สึกผิดไปเรื่อย ๆ<br />
<br />
ข้อดีของมันคือทำให้โกรธ-เกลียดคนอื่นได้น้อยลงอยู่ เพราะคิดซะว่าเราเคยทำอย่างนี้กับคนอื่น ตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องใช้กรรม ก็รับกรรมไปซะ มันก็เครียดน้อยลง<br />
<br />
<br />
ผมว่ามันเป็นคุณธรรมของคนที่จะเป็นผู้ใหญ่เลยนะ คือโตแล้ว พูดไปแล้วก็ต้องพยายามทำให้ได้ ติดขัดหรือต้องการความช่วยเหลืออะไร ลดขนาดงาน หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็คุยกัน หาทางออก แต่ทิ้งไปเฉย ๆ ไม่ได้ <b>เพราะเมื่อเราได้ตกปากรับคำไปแล้ว ก็จะมีคนอื่น ๆ อีกมากที่จะได้ร่วมเดินทางกับเราด้วย</b> บางคนอาจไม่ได้อยากเดินทางแต่แรก แต่ก็ร่วมทางมาเพราะเชื่อถือ/เชื่อมั่นในตัวเราหรือแม้แต่เพราะเราขอร้องเขามา แล้ววันหนึ่ง เราก็หยุดเดินไปเฉย ๆ วันนั้นเราจะตอบเพื่อนร่วมทางของเราทั้งหลายอย่างไร?jarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-70078816938172233372010-11-13T00:55:00.000+07:002010-11-13T00:55:33.667+07:00ทำงานในที่ทำงานไม่ได้ตอนนี้จัดโต๊ะทำงานไว้ที่บ้านเรียบร้อย ทำงานดึก ๆ ดื่น ๆ ทุกวัน จนแฟนบ่น (แต่เขาก็เข้าใจนะ) อันที่จริง โดยอุดมคติแล้วเราน่าจะทำงานที่ทำงาน และให้เวลากับครอบครัวเมื่อมาอยู่ที่บ้าน<br />
<br />
แต่ผมมีปัญหาแฮะ คือถ้าอยู่ที่ทำงาน ผมทำงานไม่ได้<br />
<br />
อันที่จริง ผมก็ทำอะไรหลายอย่างอยู่เหมือนกันนะ เวลาเราอยู่ที่ทำงานน่ะ ที่เราทำก็เพราะเราคิดว่ามันเป็นงาน เป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ ก็ต้องทำไป อย่างวันนี้ก็จัดการเรื่อง จัดสรรสถานที่ฝึกงานให้นักศึกษา ให้คำปรึกษาแก่นักศึกษา เมื่อวานก็แก้ปัญหาเรื่องการจัดซื้อครุภัณฑ์ไม่ได้ตามแผน แก้แผนเพื่อให้จัดซื้อครุภัณฑ์ได้ ต้อนรับวิทยากรที่มาบรรยายให้นักศึกษาฟัง คุมยอดจัดซื้อวัสดุ วันก่อนนั้นก็เขียนโครงการพัฒนานักศึกษา สั่งการช่างที่จะปรับปรุงห้องทำงานให้อาจารย์ใหม่ ประชุมร่างหลักสูตร (ที่โคตรจะไม่อยากให้เปิดเลย) ... ยังดี ปีนี้ไม่ต้องทำ KPI ปีที่ต้องทำนั่นแก้รายงาน KPI จนสว่างคาตาเลย<br />
<br />
เคยมีอาจารย์พิเศษพูดว่าเป็นอาจารย์สบายจัง ... แหงสิ (วะ) ไม่ต้องจัดการอะไรพวกนี้นี่ (หว่า)<br />
<br />
ในความคิดเรา ที่ว่ามามันก็งานทั้งนั้นแหละ แต่มหาวิทยาลัยเขานับให้น้อย บางเรื่องเขาไม่นับให้เลยด้วยซ้ำ เขานับผลงานด้านการสอน การวิจัย<br />
<br />
ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ทำนะงานสอนงานวิจัยพวกนี้ แต่เดี๋ยวนี้ต้องเอามาทำที่บ้านหมดเลย ทั้งเตรียมสอน ตรวจข้อสอบ ตรวจการบ้าน ทำวิจัย เขียนตำรา ทำที่ทำงานไม่ได้เลยเพราะจะถูกงานอื่นแทรกเข้ามาตลอด<br />
<br />
วันก่อน ก.จ. ก็ถามเรื่องส่งผลงานเพื่อพิจารณา เราก็บอกเขาว่าเราทำใจแล้ว เป็นอาจารย์ธุรการ ไม่ต้องส่งก็ได้มั้ง ผลงง ผลงานเนี่ย เอาแผนครุภัณฑ์หรือสมุดคุมยอดวัสดุ ไปแทนมั้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า<br />
<br />
มีอาจารย์ทักว่า ทำไมอาจารย์ไม่สั่งเจ้าหน้าที่ ... อ้าว ก็งานพวกนี้เขาสั่งผมมา ถ้าจะให้เจ้าหน้าที่ทำ ก็สั่งเจ้าหน้าที่ไปเลยสิ มาสั่งผมทำไม ผมเซ็นชื่อ ผมลงนาม ผมรับผิดชอบ และผมได้ผลงาน (แม้จะน้อย) จะให้โยนงานไปให้คนอื่น แล้วรับผลงานไว้หรือไง <br />
<br />
บ่นไปงั้นแหละ ตอนนี้ทำงานที่บ้านได้สะดวกแล้ว อะไร ๆ คงดีขึ้นมาบ้างหรอก ยังไงเวลาก็เป็นของเรา ถ้าเราไม่ยอมสักอย่าง เขาก็คงจะแย่งไปไม่ได้หรอก (มั้ง)jarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.com2