วันจันทร์, มกราคม 14, 2556

เส้นทางแห่งการปรองดอง

ช่วงสัปดาห์นี้ได้มีโอกาสไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ทำให้จิตใจมันน้อมเข้าสู่คำสอนของพระพุทธเจ้ามากกว่าปกติจนถึงขั้นขวนขวายไปหาธรรมบรรยายมาฟัง

ระหว่างที่ค้นหาก็ได้พบบรรยายธรรมเกี่ยวกับพระสูตรอยู่ 2 บทคือ การบรรยายธรรมเรื่องสาราณียธรรมสูตร และ การบรรยายธรรมเรื่องสิงคาลกสูตร เนื้อหาก็มีเยอะแต่ที่จับได้ตามกำลังสติ ปัญญา และสมาธิ ก็คือพระสูตรแรกว่าด้วยเรื่องความสามัคคี และพระสูตรหลังว่าด้วยธรรมะสำหรับฆราวาส ฟังแล้วก็ได้คิดว่าถ้านำไปใช้ในเรื่องการเมือง ประเทศไทยคงสงบสุขเร็วขึ้น

ในบรรยายธรรมเรื่องสาราณียธรรมสูตรนั้นท่านว่าเหตุแห่งความสามัคคีนั้นก็คือ
  1. บุคคลในหมู่คณะต้องมีศีลเสมอกัน ท่านขยายความว่าทุกคนต้องมีสิทธิ์เท่า ๆ กันตามสมควรแห่งฐานานุรูป
  2. อีกข้อหนึ่งก็คือบุคคลในหมู่คณะต้องมีทิฏฐิเสมอกัน จากที่ท่านขยายความผมก็เข้าใจว่าคล้าย ๆ อุดมการณ์เดียวกันนั่นแหละ คือหวังผลปลายทางไว้อย่างเดียวกัน
ถ้าอย่างนั้นเหตุแห่งการแตกสามัคคีก็ตรงกันข้ามก็คือ
  1. ศีลไม่เสมอกัน คือคนกลุ่มหนึ่งได้รับข้อยกเว้นบางอย่าง คนอีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้รับข้อยกเว้นโดยไม่มีเหตุแห่งการยกเว้น คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิบางอย่างเหนือกว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งโดยไม่มีเหตุแห่งการมีอภิสิทธิ์ หรือเหตุดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล ก็เรียกว่าศีลไม่เสมอกัน การระงับเหตุแห่งการมีศีลไม่เสมอกันในระดับประเทศก็คือการบังคับใช้กฏหมายต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
  2. ทิฏฐิไม่เสมอกัน คือมีความเห็นในด้านอุดมคติเป้าหมายปลายทางที่แตกต่างกันมาก
อันที่จริงเรื่องนี้ก็มีข้อโต้แย้งอยู่เหมือนกัน คือในส่วนของกฏหมายที่ให้บังคับใช้ต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันนั้น เอาเข้าจริงก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนเท่ากันได้เป๊ะ ๆ เอาง่าย ๆ ว่าคนรายได้มากก็ต้องเสียภาษีในสัดส่วนที่สูงกว่าคนที่มีรายได้น้อย คนที่มีรายได้น้อยมาก ๆ ก็ได้รับสิทธิ์ไม่ต้องเสียภาษี

เรื่องนี้คงต้องทำความเข้าใจกันจริง ๆ จัง ๆ ว่าคำว่าภายใต้กฏหมายเท่าเทียมกันนั้น มันไม่ต้องเท่ากันเป๊ะ ๆ ทุกคน เรียกว่าให้เสมอกันตามฐานานุรูปก็น่าจะได้ ทั้งนี้เพราะแต่ละคนก็ล้วนมีบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ กัน แม้แต่ในโรงเรียน นักเรียนคุยในห้องเรียนก็ถูกตัดคะแนน ครูคุยในห้องเรียนก็ไม่มีคะแนนจะตัด แต่มีโทษอย่างอื่นแทน เช่นถูกครูใหญ่ตำหนิ ตักเตือน ตัดเงินเดือน ฯลฯ นี้แสดงให้เห็นว่า สิทธิเท่าเทียมมันไม่ได้เท่ากันเป๊ะ ๆ แบบเหมือนกันทุกประการ แต่มันจะมีหลักการอันสมเหตุสมผลรองรับให้เหมาะให้ควรแก่บทบาทหน้าที่ของแต่ละคน

การยกให้ใครเหนือกฏหมายโดยสิ้นเชิงหรือการพยายามกดให้ทุกคนอยู่ในกฏแบบเท่ากันเป๊ะ ๆ ผมจึงคิดว่าเป็นเรื่องผิดธรรมชาติและเป็นเหตุแห่งความแตกแยกเอามาก ๆ

อีกประเด็นที่ว่าทิฏฐิควรเสมอกัน ที่ผมแปลว่าอุดมการณ์ไปในทางเดียวกันก็มีข้อโต้แย้งได้ว่า คนเราจะคิดเหมือนกันได้อย่างไร หรือที่ร้ายกว่าคือจะไปควบคุมให้ทุก ๆ คนคิดเหมือนกันได้อย่างไร

ผมคิดว่าภายใต้ความแตกต่างกันในทางการเมืองนั้น ทุกคน (ควรจะ) มีอุดมการณ์ปลายทางอย่างเดียวกัน ก็คือความสุขความเจริญของประเทศชาติ (ชาติก็คือประชาชน) ความสงบสันติ ไม่ว่าจะเชื่อลัทธิการเมืองแบบใดก็ควรมีความคาดหวังเช่นนี้ไว้เป็นปลายทาง ถ้าเรามองเรื่องนี้ให้ชัด ๆ เราก็ควรจะเห็นได้ว่าทุกคนในประเทศ (ที่เป็นปรกติ) น่าจะถือได้ว่ามีทิฏฐิเสมอกันทั้งนั้น แต่จะไปยึดติดแบ่งเขาแบ่งเราด้วยหลักอุดมการณ์ที่ตื้นกว่าอยู่หรือเปล่า

ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เรามีการโต้แย้งกันทางการเมือง ทางสังคม แล้วเราย้อนกลับมาคิดถึงศีลเสมอกัน และทิฏฐิเสมอกัน เราก็สามารถที่จะถกเถียงได้อย่างสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ ความเกลียดชังกัน การเหน็บแนมเสียดสีกันก็น่าจะลดลง

การโต้แย้งใดที่ไม่เอื้อต่อการทำความเข้าใจกัน โดยอาศัยสองหลักที่ว่าข้างต้น ก็น่าที่จะถูกตั้งคำถามจากประชาชนว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องหรือไม่

การสร้างสรรค์สังคมที่จะตระหนักถึงการทำให้ศีลเสมอกันและทิฏฐิเสมอกันได้นั้น บุคคล 2 กลุ่มเป็นอย่างน้อยควรตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนเองที่จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม นั่นก็คือ
  1. นักวิชาการและ
  2. สื่อสารมวลชน
ผมเองคาดหวังว่านักวิชาการควรชี้ทางสว่างให้แก่สังคมได้ และสื่อสารมวลชนควรให้การศึกษาแก่ประชาชนได้ นอกจากนี้สื่อสารมวลชนยังต้องรับภาระด้านการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สังคมอีกด้วย ในบรรยายธรรมเรื่องสิงคาลกสูตรท่านก็พูดถึงคุณธรรมอันสำคัญข้อหนึ่งคือการปราศจากอคติ 4 ผมคิดว่าคนสองกลุ่มนี้ควรอย่างยิ่งที่จะต้องปราศจากอคติ 4 คือความลำเอียง 4 ประการซึ่งประกอบด้วย
  1. ฉันทาคติ คือลำเอียงเพราะชอบ
  2. โทสาคติ คือลำเอียงเพราะชัง
  3. โมหาคติ คือลำเอียงเพราะหลง
  4. ภยาคติ คือลำเอียงเพราะกลัว
ถ้านักวิชาการและสื่อสารมวลชนของประเทศไทยไม่สามารถสลัดอคติ 4 ออกไปได้ มัวแต่สร้างหลักการ ให้ความเห็น เสนอข่าว ปลุกระดม กันด้วยอคติ 4 แล้วภาวะที่ศีลจะเสมอกัน ทิฏฐิจะเสมอกันได้มันก็ไม่เกิด ถ้าสภาพความเสมอกันนี้ไม่เกิดขึ้น สามัคคีมันก็ไม่เกิด ความสุขความเจริญในประเทศชาติมันก็ไม่เกิด

หากการแสดงหลักการ แสดงความเห็น เสนอข่าวและข้อมูลต่าง ๆ กระทำกันแบบตรงไปตรงมาโดยปราศจากอคติ 4 ประชาชนก็จะได้เรียนรู้ และเมื่อประชาชนได้เรียนรู้ก็จะเกิดความเข้าใจในสภาพศีลเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกัน เมื่อเข้าใจและปฏิบัติได้ สามัคคีก็เกิด ความเจริญก้าวหน้าก็เกิด

ผมคิดว่าเราไม่ต้องไปหวังอะไรจากนักการเมือง เจ้าลัทธิ นักปลุกระดม แต่เราควรคาดหวังได้จากนักวิชาการและสื่อสารมวลชนธรรมดา ๆ นี่แหละ ถ้าเราคาดหวังอะไรจากนักวิชาการและสื่อสารมวลชนไม่ได้ ไม่ว่าหลักการสวยหรูใด ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์อันใดแก่ประเทศไทย ประชาชนชาวไทย และสังคมไทยทั้งสิ้น

ถ้าพวกเราจะรู้ทันนักการเมือง เจ้าลัทธิ และนักปลุกระดมได้ ประเทศไทยน่าจะเจริญกว่านี้ สงบสุขกว่านี้ และน่าอยู่กว่านี้มากทีเดียว

อ้างอิง
บรรยายธรรมที่ผมได้รับฟังนี้เป็นบรรยายธรรมเรื่องพระสูตรของท่านพระธรรมเมธาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ) เป็นพระสูตรแผ่นที่หนึ่ง ลำดับที่ 2 และลำดับที่ 14 - 17 ตามลำดับ

วันอาทิตย์, มกราคม 06, 2556

คำถามที่ตรรก (เท่าที่ผมมีปัญญาอยู่) ตอบไม่ได้

คำถามที่ตรรก (เท่าที่ผมมีปัญญาอยู่) ตอบไม่ได้มีดังต่อไปนี้
  1. ภาษาที่มีคนใช้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เรียกว่าภาษามีชีวิต แล้วทำไมต้องเคร่งครัดกับการเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องด้วย
  2. มนุษยชาติใหญ่กว่าชาติ และความคลั่งชาติก็สร้างปัญหาให้มนุษยชาติมากมาย ทำไมต้องรักชาติของตนมากกว่าชาติอื่น ๆ ด้วย
  3. มารยาทเป็นเพียงการแสดงออก บอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจริงใจหรือไม่ ทำไมต้องมีมารยาทด้วย
  4. ความดี-ความชั่ว เป็นเรื่องสัมพัทธ์ จะดีหรือชั่วขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ ณ ขณะนั้น ๆ สถานที่นั้น ๆ มันไม่ได้มีอยู่จริง แล้วทำไมจะต้องไปใส่ใจมากมายกับ ความดี-ความชั่ว โดยเฉพาะยิ่งกับสิ่งที่เรียกว่า จริยธรรม-ศีลธรรม ยิ่งน่าสงสัยด้วยซ้ำไปว่ามันคืออะไร มีจริงหรือไม่
  5. การเลี้ยงดูบุตรของพ่อแม่ การสั่งสอนศิษย์ของครูอาจารย์ การช่วยชีวิตคนของหมอ ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร ล้วนเป็นการทำงานในหน้าที่ตามปกติ ทำไมต้องเป็นบุญคุณกัน ทำไมต้องมีความกตัญญูเป็นคุณธรรมด้วย
  6. คน ๆ หนึ่งทำให้สิ่งของของอีกคนหนึ่งเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ ยินดีรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด แต่ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องก้มหัวเอ่ยคำขอโทษ ในเมื่อไม่ได้เจตนา ในเมื่อยินดีรับผิดชอบความเสียหาย ทำไมต้องขอโทษด้วย
  7. การซื้อขายประเวณี หากเป็นการเต็มใจของผู้ขายและผู้ซื้อ ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีพันธะครอบครัว ถือว่าผิดศีล 5 หรือไม่ และถือว่าผิดคุณธรรมใดหรือไม่ ทำไมการค้าประเวณีจึงได้ชื่อว่าเป็นการค้ามนุษย์?
ก่อนจบ ขอชี้แจงว่าผมไม่ได้สงสัยเอง แต่ผมไม่สามารถตอบคำถามนักเรียน-นักศึกษาให้สิ้นสงสัยไปได้ด้วยตรรก

ผมมีความปรารถนาจะตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ด้วยตรรก จึงมาบันทึกคำถามเหล่านี้ไว้เพื่อให้คนมาช่วยเหลือครับ คำตอบที่ได้ผมจะนำไปเรียบเรียงและใช้ตอบคำถามนักเรียนในโอกาสที่จำเป็นต่อไป

ผมคิดว่าหากเราไม่พยายามตอบคำถามทำนองนี้ด้วยความเข้าอกเข้าใจในผู้ถาม สักแต่ว่าติเตียนถ่ายเดียว การเรียนรู้อย่างแท้จริงของเยาวชนก็จะไม่เกิด และจะกลายเป็นระเบิดเวลากลับมาทำร้ายสังคมของเราเองได้ในอนาคต