วันอังคาร, ธันวาคม 06, 2548

ระบบราชการสอนให้คนโกหก ฟุ่มเฟือย และตุกติกคดโกง!

ระบบระเบียบว่าด้วยการใช้เงินของหน่วยงานราชการอย่างน้อยหนึ่งแห่ง (เท่าที่ได้ประสบด้วยตนเอง - เชื่อว่าหน่วยงานราชการทุกแห่งไม่ต่างกัน) สอนให้คนโกหก สอนให้คนโกง สอนให้คนฟุ่มเฟือย

ผมอธิบายไม่ถูก เล่าเป็นเรื่องๆ ไปน่าจะเข้าใจง่ายกว่า

๑. การสอนให้คนโกหก
ผมจำเป็นต้องขออนุมัติใช้รถไปราชการ ทางหน่วยงานก็ให้ระบุไปในคำร้องว่าจะขอใช้รถตั้งแต่วันที่เท่าไร กี่โมง จนถึงวันที่เท่าไร กี่โมง ซึ่งผมก็ระบุไปโดยการประมาณ

เมื่อเดินทางจริง และเป็นการเดินทางระยะไกล แม้ความคลาดเคลื่อนเพียงช่วงละหนึ่งส่วน เมื่อประกอบกันหลายส่วนก็คลาดเคลื่อนไปหลายชั่วโมง ทำให้เวลาเดินทางกลับไปตรงกับที่ขอไว้ กล่าวคือ ช่วงเวลาที่ขออนุมัติคือ จากวันจันทร์ เวลา ๐๖.๐๐ จนถึงวันศุกร์ เวลา ๑๗.๐๐ ปรากฏว่าผมกลับถึงหน่วยงานวันศุกร์ เวลา ๒๒.๐๐ ซึ่งผมก็รายงานการเดินทางไปตามจริง

ปรากฏว่าฝ่ายการเงินส่งรายงานผมกลับคืนมาด้วยเหตุผลว่า เวลาที่กลับจริง ไม่ตรงกับที่ขอไป!!??

ผมก็งง เพราะเรารายงานไปตามจริง ทำไมต้องเขียนรายงานใหม่ให้มันไม่ตรงกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงด้วย อีกทั้งหากการเขียนรายงาน สามารถที่จะเขียนโดยไม่ตรงกับความเป็นจริงได้แล้ว ขอเพียงให้ตรงกับที่ขออนุมัติเพียงประการเดียวโดยไม่สนใจว่าจะเป็นความจริงความเท็จอย่างไร แล้วจะให้เขียนรายงานไปทำไม!!?? พูดตามตรง ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำไปว่าคนที่ดำเนินการเกี่ยวกับการเงิน ณ เวลานี้ เข้าใจจุดมุ่งหมายของการเขียนรายงานการเดินทางไปราชการจริงๆหรือเปล่า หรือเพียงจำๆเอามาว่า เลขนี้ต้องเท่ากับเลขนั้น โดยไม่เข้าใจความหมายและที่มาที่ไปของมันเลย

สุดท้ายผมก็ต้อง โกหก ตามความต้องการของฝ่ายการเงินเพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปงัดข้อกับเขา เนื่องจากเราเป็นพนักงานใหม่ ค่าใช้จ่ายก็ชำระไปหมดแล้ว ถ้าเบิกไม่ได้ก็ต้องจ่ายเองซึ่งเป็นเรื่องที่บั่นทอนกำลังใจอย่างแรง

แต่เอาเถอะ อย่างไรเสีย ผมก็กลายเป็นคนโกหกไปแล้ว

๒. การสอนให้คนฟุ่มเฟือย
ในการเดินทางครั้งนี้ ผมต้องเตรียมการให้ข้าราชการอาวุโสไปด้วย เนื่องจากระยะทางไกลไม่สะดวกแก่ผู้สูงอายุ ผมจึงจัดให้ผู้อาวุโสเดินทางโดยเครื่องบิน เมื่อตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว หากผมไม่คิดจะประหยัดเงินให้ประเทศชาติ ก็สามารถทำได้ แต่เพราะผมทราบดีว่าประเทศเรานี้ไม่ใช่ประเทศร่ำรวย สิ่งที่ประหยัดได้ควรประหยัด จึงจัดหา แพคเกจทัวร์ ซึ่งรวมค่าเดินทางและค่าที่พักเข้าด้วยกันในราคาที่ถูกกว่าให้ผู้อาวุโส

ปรากฏว่า รายการนี้มีปัญหา อาจจะเบิกไม่ได้!! ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีรายการทัวร์เหมาจ่ายอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้ไม่สามารถนำรายการนี้เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ได้

โอ้ ให้ตายเถอะ! นี่เรานำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวก หรือว่าเอามาให้มันเป็นนายเรากันแน่ (วะ)

ด้วยความอัดอั้นตันใจ ผมก็ปรึกษาปัญหานี้กับข้าราชการรุ่นพี่ คำตอบเหมือนกันหมดก็คือ ทีหลังอย่าเสือกประหยัดให้ราชการ เบิกอะไรได้เบิกให้หมด ไม่อย่างนั้นทำประหยัดไปให้เขา เขาไม่เอาเรานั่นแหละจะเดือดร้อน

โอ้ ประเทศชาติ...

แต่เอาเถอะ โอกาสหน้า ผมก็คงจะไม่ประหยัดแล้วล่ะ

๓. การสอนให้คนโกง
กรณีนี้เป็นเงินจำนวนน้อยที่สุด แต่เจ็บปวดเป็นที่สุด เพราะทำให้ผมได้ทราบถึงรากเหง้าของความคดโกงทั้งหลายในแผ่นดินนี้ ว่าอันที่จริงแล้วมันเกิดจากความงี่เง่าในระบบราชการนี่เอง กล่าวคือในรายการค่าใช้จ่ายในราชการครั้งนี้ รวมค่าที่จอดรถซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นเงิน ๒๐ บาท

แค่ ๒๐ บาทนี่แหละ

ไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าผมจะเรียนให้ทราบว่ารายการนี้ เบิกไม่ได้ เพราะไม่มีรายการนี้ในระบบคอมพิวเตอร์ให้เลือก ผมก็ถามกลับไปว่าแล้วจะให้ใครจ่าย หัวหน้าหน่วยจะจ่ายไหม หัวหน้าฝ่ายการเงินจะจ่ายไหม อธิบดีจะจ่ายไหม รัฐมนตรีจะมาจ่ายให้ผมไหม หรือว่าต้องมาลงเอากับผู้น้อย เงินเดือนน้อยอย่างผมนี่!

คำแนะนำจากผู้รู้คือ ไปแปลงค่าที่จอดรถให้กลายเป็นค่าน้ำมันซะ แล้วชีวิตมันจะดีขึ้นเอง

ครับ ในที่สุด ผมก็ผ่านการทดลองงานขั้นแรก ในการที่จะเป็นข้าราชการที่สามารถเอาตัวรอดอยู่ได้ ในระบบราชการเฮงซวยนี่ด้วยการ หัดโกหก ฟุ่มเฟือย แล้วก็ตุกติก

ขอตะโกนดังๆว่า โอ้ประเทศชาติ (โว้ย)

วันอังคาร, พฤษภาคม 24, 2548

น้ำเอยน้ำใจ

วันนี้ผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

คนข้ามถนนตรงทางข้าม รถจะรี่เร่งขับเข้ามาอย่างเร็ว เพื่อไม่ให้ข้ามได้ กลัวจะต้องหยุดรถรอคนข้าม

รถคันเดิมขับผ่านเลยทางคนข้ามไป แล้วก็ไปชะลอรถตรงที่มีหลุม กลัวรถพัง

พูดง่ายๆ ว่ามันห่วงรถมันมากกว่าชีวิตคน
หรือเบาๆหน่อย ก็คงจะให้เกียรติและความสำคัญแก่รถของตน มากกว่าชีวิตของคนอื่น

บางที ก็นึกๆอยู่เหมือนกันว่า เอ๊ะ นี่กูอยู่ในโลกมนุษย์ หรือว่าอยู่ในนรกกันแน่วะเนี่ย -_-'

วันพุธ, เมษายน 27, 2548

ทันสมัย ไม่พัฒนา ท่าจะจริง

ในหน่วยราชการมีคอมพิวเตอร์รุ่นสูงๆ ใช้ ทันสมัยมากๆ
แต่ใช้ได้แค่พิมพ์งาน

วันนี้ไปติดต่อราชการ (ขอไม่บอกว่าที่ไหน) ต้องกรอกเอกสารหลายฉบับ ทุกฉบับต้องการข้อมูลคล้ายๆกัน เช่น ชื่อ สกุล ชื่อพ่อ ชื่อแม่ วันเกิดตัว วันเกิดพ่อ วันเกิดแม่

ผมต้องกรอกเอกสารพวกนี้ประมาณสิบครั้งเข้าไปแล้วภายในเวลาเพียงไม่ถึงปี กรอกแล้วก็ส่งให้หน่วยงานเดิมนี่แหละ กว่าจะเดินเรื่องเสร็จ ก็เลยไม่เข้าใจว่าคอมพิวเตอร์ราคาเป็นหลายหมื่น ระบบฐานข้อมูลเป็นหลายแสน ที่หน่วยงานซื้อมาใช้ มันจะช่วยอะไรตรงนี้ไม่ได้เลยหรือไง

เช่นเอกสารแผ่นแรก เอามาให้กรอกแล้ว ก็เอาเข้าฐานข้อมูลไปเลย พอต้องกรอกอีกใบ ก็พิมพ์ส่วนที่เคยให้ข้อมูลไปแล้วให้เรียบร้อย เราจะได้กรอกเฉพาะข้อมูลที่ยังไม่เคยให้ไป อย่างนี้เป็นต้น

ตอนแรกผมก็แค่อยากบ่น ก็บ่น บ่นจนรำคาญตัวเอง

บ่นสักพัก ก็เลยคิดว่า ถ้าทำได้ก็น่าจะลงมือทำอะไรสักอย่าง ก็เลยเสนอไอเดียกับหัวหน้า เพื่อให้หัวหน้าไปคุยกับ หัวหน้างานส่วนที่เกี่ยวกับฐานข้อมูลนั้น เพื่อนำข้อเสนอที่ผมจะเสนอนี่แหละ ไปปรับใช้ คือคิดว่าถ้าหัวหน้าเห็นด้วย ผมจะยอมรับทำโปรแกรมเองด้วยซ้ำไป (ถ้าทางหน่วยงานนั้นยอมให้ทำ) หรือถ้าไม่ยอม จะเขียนแนวทางคร่าวๆ ให้ก็ได้ (คิดว่าซี้ซั้วไปคุยกับทางโน้นเอง เขาก็ไม่ฟังเด็กเมื่อวานซืนอย่างผมหรอก)

(ซึ่งอันที่จริงคนที่ทำงานด้านฐานข้อมูลไม่ต้องการแนวทางของผมหรอก เขาเก่งกว่าผมประมาณล้านเท่า หลับตาทำยังได้เลย แต่เขาอาจจะมองไม่เห็นว่ามันน่าทำและผมไม่รู้ว่าจะไปบอกเขายังไงว่าตรงนี้มั นน่าทำนะ ตรงนี้มันน่าปรับปรุงนะ)

หัวหน้าท่านก็ว่า เสนอไปก็ไม่ให้ทำหรอก เพราะถ้าให้เราทำมันเสียหน้าเขา ถ้าเขาทำเองมันก็เพิ่มงานเขา นี่แหละประเทศไทย (ผมเข้าใจเอาเองว่า มันคือคำแนะนำว่าจงอยู่เฉยๆ และผมรู้สึกว่าผมเกลียดคำว่า เมืองไทยก็อย่างนี้แหละ ขึ้นมาทันที)

จากนั้นผมได้เดินไปนอกสถานที่ใกล้ๆ เห็นเด็กๆ กำลังใช้คอมพิวเตอร์รุ่นที่ดีกว่าเครื่องในหน่วยงานด้วยซ้ำ เล่นเกมส์ออนไลน์อยู่อย่างครึกครื้น เพื่อนรุ่นน้องอีกคนกำลังเอาเกมโป๊มาแบ่งกับเพื่อนรุ่นน้องด้วยกัน

ทำได้เพียงนี้เท่านี้เอง สำหรับคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย

มันเกิดความอึดอัดขึ้นจุกอก แทบจะร้องไห้

วันพุธ, เมษายน 06, 2548

อภิสิทธิ์ของนักศึกษา

เห็นพูดกันว่าออกนอกระบบแล้ว นักเรียนจะไม่มีโอกาสเรียนเพราะค่าเทอมแพงขึ้น ฟังดูดีแต่จากที่ตาเห็นกลับปรากฏว่า การที่นักเรียนได้รับการอุดหนุนจากเงินภาษีทำให้จ่ายค่าเทอมน้อยกว่าที่ควรจ ่าย คือประมาณไม่ถึงร้อยบาทถึงร้อยกว่าบาทต่อหน่วยกิต ทั้งๆที่ค่าใช้จ่ายจริงควรจะเกินพันบาทต่อหน่วยกิตนั้น

ไม่ได้ช่วยสร้างคนที่จะออกมาช่วยสร้างชาติสักเท่าใดเลย

เ พราะจะเห็นนักเรียนเขียมค ่าลงทะเบียนเอาไปจ่ายค่าเหล้าก็มาก ไปจ่ายค่าเที่ยวค่ากินก็มาก ไปซื้อการ์ตูน หรือเอาไปลงกับงานอดิเรกที่ฟุ่มเฟือยก็ไม่น้อย บ้างก็ไปเป็นค่าน้ำมันรถ (ซึ่งได้เป็นของขวัญจากคุณพ่อคุณแม่เมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้) และค่าทางด่วน

และเพราะว่าการที่ได้รับการอุดหนุนจากภาษีของประชาชนโดยไม่รู้ตัว ทำให้มีน้อยคนที่จะสำนึกได้ว่า โอกาสทางการศึกษาของตนเองนั้น เป็นพระคุณของชาติ คือเป็นพระคุณของประชาชนคนไทย ควรที่จะตอบแทนสู่สังคมไทย ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง

แ ต่กลับกลายเป็นว่า แต่ละคนก็คิดเอาว่า ฉันเรียนเอง ค่าเทอมฉันออกเอง เพราะฉะนั้น ฉันจบแล้วฉันจะกอบโกยเอง มันผิดตรงไหน? เมื่อไปทำงานกับบริษัท แทนที่จะทำงานอย่างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ก็หาทางทำกำไรให้บริษัทอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ดูว่าผู้บริโภคซึ่งเป็นคนที่ส่งเสียพวกเราเรียนจนจบนั้นจะโดนผลกระทบอะไร บ้าง สังคม ซึ่งให้โอกาสเรามากมาย สูญเสียอะไรไปบ้าง

อย่ากระนั้นเลย เลิกอุดหนุนการศึกษาโดยการปิดบังค่าใช้จ่ายที่แท้จริงเสียเถอะ ปล่อยให้คนเหล่านี้ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูงเอาเอง เพราะจะอุดหนุนหรือไม่อุดหนุน เดี๋ยวพวกนี้มันก็กลับมาสูบเลือดพวกเราอยู่ดี ไม่เห็นจะต่างกัน

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 17, 2548

ปัญญาชนคือผู้มีอภิสิทธิ์?

มหาวิทยาลัยน่าจะเป็นแหล่งรวมของผู้มีปัญญา

ปัญญาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงจำได้มาก ท่องได้หมด คำนวณเก่ง แต่ต้องรวมหมายถึง รู้ถูก รู้ผิด รู้ดี รู้ชั่ว ด้วย

ปรากฏว่าเอาเข้าจริงมหาวิทยาลัย (บางแห่ง - หลายแห่ง) กลับกลายเป็นเพียงแหล่งรวมของผู้ไร้ปัญญา ไม่ รู้ถูกรู้ผิด อันใดเลย เห็นได้จากวินัยจราจรภายในเขตรั้วมหาวิทยาลัย ไม่อยากเอ่ยชื่อว่าที่ใด เพราะมีบางแห่ง (น้อยแห่ง) ที่ทำได้ดี

ทั้งการจอดรถในที่ห้ามจอด เลี้ยวโดยไม่ให้สัญญาณไฟ ไม่ให้รถทางตรงไปก่อน ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้พบได้ในเขตมหาวิทยาลัย ทั้งๆที่มันน่าจะไปพบที่เขตอื่นๆมากกว่า

บ่นไป เพื่อนก็บอกว่าไม่แปลกใจ เพราะพ่อแม่เด็กพวกนี้ก็ไม่ต่างกัน เห็นมีมาส่งลูก อยากจะจอดแม้ในที่ห้ามจอดก็จอดกันได้หน้าตาเฉยโดยไม่นึกไม่คิดว่าคนอื่นๆที่ ร่วมใช้ถนนอยู่ด้วยนั้นจะลำบากเดือดร้อนกันสักกี่มากน้อย

แล้วพอเด็กพวกนี้มีลูก เขาจะเลี้ยงลูกกันยังไงนะ?

วันศุกร์, มกราคม 21, 2548

ทำไมนักศึกษาจึงไม่ควรลอกการบ้าน?

ตอบสั้นๆ ว่า ก็เพราะมันไม่คุ้มน่ะสิ
เพราะคนที่ลอกการบ้าน ไม่ใช่คนที่จะไปอ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอแน่นอน เพราะฉะนั้นพวกนี้มักจะเป็นพวกที่มีปัญหาในห้องสอบอยู่แล้ว เช่นมีข้อสอบหกข้อ อาจจะพอนึกวิธีทำออกแค่สาม และทำถูกจริงๆแค่หนึ่งข้อเท่านั้น

พวกนี้มักจะนึกเอาว่า การลอกการบ้านมาส่ง อย่างน้อยก็ (คงจะ) ได้คะแนนการบ้านไปช่วยเสริมแม้เพียงเล็กน้อย ก็น่าจะดีกว่าไม่มีอะไรเลย

หารู้ไม่ว่า นั่นเท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองโดยไม่รู้ตัว!!

เพราะว่าสัดส่วนของคะแนนการบ้านกับคะแนนข้อสอบมันเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว คะแนนการบ้านธรรมดาก็ ๑๐ คะแนน อย่างมากก็ ๒๐ คะแนน ส่วนคะแนนในห้องสอบอย่างต่ำ ๓๐ คะแนน สูงสุดอาจจะถึง ๖๐ คะแนน

หากนักศึกษาเลือกที่จะทำการบ้านเอง อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ทำในข้อที่ทำไม่ได้ไม่จำเป็นต้องไปลอกใคร ก็จะทราบ ณ ขณะที่ทำการบ้านอยู่ในทันที ว่าตนมีความเข้าใจเนื้อหามากน้อยเพียงใด และเมื่อทราบว่าไม่เข้าใจในจุดใดก็สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ก่อนสอบ

นั่นเท่ากับ สละส่วนน้อย (คือคะแนนการบ้าน) เพื่อพิชิตส่วนใหญ่ (คือคะแนนสอบ) และยังได้ความรู้ชนิดที่ลืมยากติดตัวไปในวิชาชั้นสูงหรือในอาชีพต่อไปอีกด้ว ย

หากคิดไม่ถี่ถ้วน ยอมไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเองและเพื่อนคนอื่นเพียงเพื่อคะแนนเพียงเล็กน้อย นั่นเท่ากับว่าเราได้ทิ้ง ศักดิ์ศรี ของเราไปเสียแล้ว อย่าว่าแต่การนั้นยังส่งผลร้ายต่อเราต่อเนื่องไปถึงในห้องสอบและในวิชาชั้นสูงต่อๆไปอีกด้วย

คะแนนจอมปลอม ย่อมคู่ควรกับคนจอมปลอม สร้างภาพ เท่านั้น คนที่ยอมทรยศต่อเพื่อนเพื่อคะแนนเล็กๆน้อยๆ ย่อมกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ยอมยืดหยุ่นหลักปฏิบัติในหน้าที่ของตนเพื่ออามิสสินจ ้างต่อไป เป็นบ่อเกิดแห่งการทุจริตต่อไป

คนที่เชื่อมั่นในตนเอง อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีเกียรติ ไม่สร้างภาพ ย่อมไม่ยอมทรยศตนเองและเพื่อน เพียงเพื่อเศษคะแนนเพียงเล็กน้อยนี้ได้ และความมีศักดิ์ศรีอันนี้เองที่จะคุ้มครองนักศึกษาในห้องสอบต่อไป

ส่วนคนที่อ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ แต่ลอกการบ้านเพื่อนเพราะขี้เกียจทำเองนั้น ถือว่านอกจากไร้เกียรติและศักดิ์ศรีแล้ว ยังเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจชนิดที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ หากมีคนชนิดนี้ขอแนะนำให้หลีกไปให้ไกลๆ