วันอังคาร, สิงหาคม 24, 2553

ข้อโต้แย้งนโยบายบังคับนักศึกษาทำกิจกรรม

ข้อเท็จจริง
ตามประกาศมหาวิทยาลัย สรุปสาระสำคัญตามความเข้าใจของผมได้ความว่า
  1. นักศึกษา ที่จะจบการศึกษาได้ จะต้องทำกิจกรรมไม่น้อยกว่า 60 หน่วยกิจกรรม ทำกิจกรรม 3 ชั่วโมงจึงจะคิดให้เป็น 1 หน่วยกิจกรรม (การประเมินว่าจะนับให้หรือไม่ ทำโดยคณะกรรมการกิจกรรม)
  2. กิจกรรมที่มหาวิทยาลัยจัดหมวดหมู่ไว้มี 5 ด้านคือ 1) พัฒนาศักยภาพตนเอง 2) สร้างความภูมิใจในสถาบัน 3) สร้างจิตสาธารณะ 4) คุณธรรมจริยธรรม 5) ศิลปวัฒนธรรม ใน 60 หน่วยกิจกรรมนั้น นักศึกษาจะต้องร่วมกิจกรรมให้ครบ 5 ด้าน ๆ ละ 8 หน่วยกิจกรรม ที่เหลือเป็นอิสระ 20 หน่วยกิจกรรม
  3. ในหลักสูตร 4 ปี มีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของแต่ละชั้นปีไว้ด้วยคือ ชั้นปีที่ 1) 20 หน่วยกิจกรรม ชั้นปีที่ 2) 15 หน่วยกิจกรรม ขั้นปีที่ 3 ) 10 หน่วยกิจกรรม และชั้นปีที่ 4) 5 หน่วยกิจกรรม
  4. หากปฏิบัติตามนี้ไม่ได้ จะไม่สามารถจบการศึกษาได้
  5. มหาวิทยาลัย ขอนแก่นไม่ใช่ที่แรก ไม่ใช่ที่เดียว ที่มีการบังคับในลักษณะคล้าย ๆ กัน ที่ทราบว่ามีทำไปก่อนแล้วคือ เกษตรศาสตร์ นเรศวร เป็นอย่างน้อย แต่เงื่อนไขและวิธีปฏิบัติอาจแตกต่างกัน
ข้อโต้แย้ง
กิจกรรม นักศึกษา คือกิจกรรมที่นักศึกษาเลือกที่จะทำ ตามใจสมัคร เป็นสิ่งบ่มเพาะตัวตนของนักศึกษาให้เติบโตขึ้นไปในทิศทางของตัวเอง แน่นอนว่าการทำกิจกรรมเป็นเรื่องที่ดี และพวกเราในฐานะครู ก็มีหน้าที่ส่งเสริม ให้นักศึกษาได้ทำกิจกรรมที่เขารัก เขาชอบ หากกิจกรรมเหล่านั้นจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตัวเด็กเองและส่วนรวม

กิจกรรม ที่เกิดจากความสมัครใจนั้น เป็นกิจกรรมที่เป็นธรรมชาติมากกว่า และได้ผลในสาระสำคัญมากกว่า เช่น เราคิดว่าการมีจิตอาสาเป็นเรื่องดี เราเลยบังคับให้ทุก ๆ คนทำกิจกรรมอาสา ซึ่งมันไม่ได้สร้างจิตอาสาขึ้นมาเลย อันนี้คนที่ทำกิจกรรมจริง ๆ จะทราบดีเช่น
"เราเคยได้รับ การติดต่อจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งว่าอยากจะให้พานักศึกษาของเขาไปออกค่าย อาสาฯเราก็ต้องบอกอาจารย์ไปว่าให้ทั้งหมดสมัครเข้ามาด้วยตัวเองดีกว่า เพราะถ้าไปบังคับให้ไปนั่นก็ไม่ใช่จิตอาสาแล้ว เพราะเขาไม่ได้ไปด้วยใจแต่ไปเพราะถูกบังคับ"
คุณสุทธิรัตน์ อยู่วิทยา (http://www.volunteerspirit.org/node/1343)
การเป็นคนดีนั้นดี แต่การบังคับให้คนเป็นคนดีนั้นเป็นไปไม่ได้

คน เรานั้นแตกต่างกัน ความแตกต่างกันนี่แหละคือความงามของคนรุ่นหนุ่มสาว คือป่าแห่งความคิดและจินตนาการ ที่มันสวยงาม ก็เพราะมันแตกต่างกัน

ความ ชอบในงานอดิเรก วิธีการใช้ชีวิต ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวิชาชีพ ผมคิดว่าเราไม่ควรบังคับนักเรียนของเราถึงระดับนั้น หากคิดว่าไม่ใช่เช่นนั้น ทำไมเราถึงไปเปิดเป็นวิชากิจกรรมไปเสียเลย แล้วก็บรรจุลงไปในหลักสูตรเสียให้เรียบร้อย ว่ามีวิชา กิจกรรม 1 ถึง กิจกรรม 8 และทุกคนต้องลงเรียนและผ่านเทอมละ 1 รายวิชา ... เรื่องนี้ทำไม่ได้เพราะอะไร? ทุกคนรู้คำตอบในใจอยู่แล้ว

นักศึกษา คนหนึ่ง ๆ ก็จะมีเงื่อนไขความจำเป็นต่างกัน การเป็นนักศึกษา ไม่ได้หมายถึงเป็นเด็กอายุ 18 - 22 ปี ที่แบมือขอเงินพ่อแม่มาเรียน แล้วก็ใช้ชีวิตเล่น ๆ ไปวัน ๆ นักศึกษาหลายคนนอกจากรับผิดชอบตนเองแล้วยังจะต้องรับผิดชอบครอบครัวด้วย นักศึกษาบางคนที่ผมเคยให้คำปรึกษา ต้องหาเงินมาเรียนเอง นักศึกษาบางคนที่เพื่อนผมให้คำปรึกษา ต้องทำงานหาเงินส่งทางบ้าน

นักศึกษา กลุ่มนี้ เวลากลางวันมาเรียน เวลากลางคืนต้องไปทำงาน บางครั้งมาลาเรียนเป็นสัปดาห์เพราะต้องไปทำงานที่ไซต์งานต่างอำเภอ ต่างจังหวัด มาเรียนไม่ได้ ขนาดเวลาจะมาเรียนยังไม่ค่อยจะมี นักศึกษากลุ่มนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปร่วมกิจกรรมให้มันครบ 60 หน่วยกิจกรรม (180 ชั่วโมง! 5 ด้าน ๆ ละ 36 ชั่วโมง) นี่เป็นกลุ่มที่แม้จะมีจำนวนน้อย แต่เป็นกลุ่มที่ผมเป็นห่วงมากที่สุด

ใน ประกาศมหาวิทยาลัยนั้นไม่เพียงบังคับให้ทำกิจกรรม แต่ยังบังคับให้ทำกิจกรรมตามหมวดหมู่ที่กำหนดด้วย ซึ่งหมายความว่า หากมีนักศึกษาที่มีความชื่นชอบกิจกรรมการเขียนโปรแกรมเป็นชีวิตจิตใจ เขาก็ไม่สามารถใช้เวลาของเขากับสิ่งที่เขารักได้เต็มที่ เพราะต้องแบ่งเวลาออกไปทำกิจกรรมอื่น ๆ อีก 4 ด้าน นี่จะเป็นการทำลายศักยภาพของนักศึกษาคนนี้หรือไม่

อาจารย์ หลายท่านที่ผมได้คุยด้วย พบว่าการบังคับหมวดหมู่กิจกรรมข้อนี้ กลายเป็นอุปสรรคของการทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างที่จำเป็นต้องอาศัยความทุ่มเท และเวลามาก เพราะนักศึกษาที่ทุ่มเทเพื่องาน (ผู้มีจิตอาสาที่แท้จริง) จะเสียประโยชน์ คือแทนที่จะเอาเวลาไปเข้าร่วมกิจกรรมที่ได้หน่วยกิจกรรมง่าย ๆ ให้มันครบ ๆ ก็ต้องมาเสียเวลาเตรียมงานต่าง ๆ ในระยะยาวก็คือกิจกรรมลักษณะนี้อาจลดลงและหายไป

ในแง่ของ สิทธิเสรีภาพ อิสระที่จะไม่ทำกิจกรรมของนักศึกษากลุ่มหนึ่งนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็เป็นอิสระส่วนบุคคลที่พึงได้รับการให้เกียรติและเคารพ ในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีสิทธิ์เลือกวิธีการใช้ชีวิตของตนเอง การจะสอนให้เขาเคารพสิทธิคนอื่นได้นั้น ก่อนอื่นเราจะต้องเคารพสิทธิของนักศึกษาของเราเสียก่อน ไม่ใช่คิดว่าฉันเป็นอาจารย์ จะสั่งให้นักศึกษาทำอะไรก็ได้นั้น ไม่ได้!

นักศึกษา นั้นมีหน้าที่เรียน และมีสิทธิ์ที่จะทำกิจกรรม ถ้าอยากทำ หากเราไม่เคารพสิทธิ์ของนักศึกษาในข้อนี้ เราจะสอนนักศึกษาของเราให้เคารพสิทธิ์ของคนอื่นได้อย่างไร

นอกจาก นี้ในระบบการบังคับนี้ ยังได้ปฏิเสธการมีชีวิตอยู่ของนักศึกษานอกรั้วมหาวิทยาลัยด้วย เพราะกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีส่วนในการจัดการ ไม่สามารถนับหน่วยกิจกรรมได้

นั่นหมายความว่า เราอาจไม่เคยคิดเลยว่านักศึกษาของเรา อาจไปเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมชุมชนที่ไหนสักแห่งนอกรั้วมหาวิทยาลัยได้ เช่นกลุ่มเครื่องบินวิทยุบังคับ กลุ่มโอเพ่นซอร์ส กลุ่มคนชอบเดินป่า กลุ่มอาสาสมัคร กลุ่มนักปั่นจักรยาน กลุ่มกิจกรรมลีลาศริมบึง เข้าวัดเป็นประจำตามลักษณะนิสัยพื้นฐานเดิม หรือแม้แต่โต๊ะหมากรุกหน้าตลาด...ไม่นับ!

นี่ใช่เรากำลังดึง นักศึกษาของเราออกจากที่ของเขา ออกจากดินจากป่าที่เขาจะเติบโตได้อย่างงดงาม เพื่อมาเฉาอยู่ในกระถางสวย ๆ ของเรา หรือเปล่า

ข้อเสนอแนะ
  1. ผม ไม่ได้ต้องการโจมตีใคร ผมไม่ต้องการเรียกร้องถามหาความรับผิดชอบจากใคร มหาวิทยาลัยขอนแก่น แม้จะมีปัญหาต่าง ๆ มากมาย แต่ก็ยังเป็นที่ ๆ น่าอยู่ เพราะเรารู้ว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ตัดสินใจเรื่องใด ๆ แล้วเกิดปัญหาขึ้นมา หรือเราไม่ชอบใจก็ตาม แต่เราก็เชื่อมั่นได้อย่างน้อยอยู่หนึ่งประการก็คือ ที่เขาทำไปนั้น ก็ด้วยความรักและหวังดีต่อมหาวิทยาลัยของพวกเราทุกคน
  2. ใน อุดมคติของผม เสนอให้ยกเลิกนโยบายนี้อย่างสิ้นเชิง และเราแก้ปัญหานักศึกษาไม่ทำกิจกรรมโดยการจัดกิจกรรมให้น่าสนใจขึ้น (ซึ่งไม่ง่ายและต้องใช้เวลา)
  3. หากยกเลิกไม่ได้ด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ควรให้ลดจำนวนหน่วยกิจกรรม ลดหมวดกิจกรรมที่บังคับ คือบังคับเท่าทีี่เห็นว่าจำเป็นจริง ๆ และมีกิจกรรมรองรับอยู่แล้ว เช่นกิจกรรมกีฬาน้องใหม่ หรือกิจกรรมรับเพื่อนใหม่ เป็นต้น และขอให้ยกเลิกกรอบจำนวนหน่วยกิจกรรมประจำชั้นปีเสีย
  4. อาจารย์ที่ เป็นผู้ลงมือทำกิจกรรมทุกท่าน และนักศึกษาที่ทำกิจกรรมทุกคน หากเห็นปัญหาเช่นเดียวกับที่ผมเห็น ช่วยกันแสดงความคิดเห็นของท่าน ผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริหารได้รับทราบความอึดอัดใจของพวกเราให้ได้มากที่สุด

ด้วยความเคารพในความเห็นของผู้อ่านทุกท่าน

2 ความคิดเห็น:

Little Bird กล่าวว่า...

ผมยังไม่ได้อ่านประกาศของมหาวิทยาลัยเลย เดี๋ยวนี้บังคับลงไปเป็นด้านๆ แล้วหรือ เข้าใจว่าแต่ก่อนแค่ครบหน่วยกิจกรรมก็จบได้ ประกาศใช้จริงๆ ซวยที่สุดก็คงจะเป็น นศ. ที่กำลังจะจบ แล้วหน่วยกิจกรรมครบแล้ว แต่ดันไม่ครบทุกด้าน คงจะวิ่งกันวุ่นทั้งมหาวิทยาลัยหาอะไรทำและหน่วยกิจกรรม

ผมทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเรื่องไม่ควรจะบังคับให้ทำกิจกรรม แต่ผมลองมองมุมของคนที่คิดดู เขาอาจจะคิดว่าการที่จะทำให้เกิดจิตอาสา หรือการเป็นคนดี มันก็ต้องเอาคนมาฝึก มาบังคับ มาดัดมาสอน อะไร ก็แล้วแต่ อย่างน้อยจากทั้งหมดมันก็คงจะมีส่วนหนึ่งที่ซึ่มซับ รับรู็และมองเห็นสิ่งที่เขาพยายามทำ เขาอาจจะคิดเช่นนั้นก็ได้ จาก 100 คน มีซัก 10 คนที่ได้ก็ยังดีกว่าศูนย์ เขาอาจจะคิดเช่นนี้ก็ได้ ซึ่งผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ผิดไปซะทั้งหมด หากมองกลับมาที่ตัว นศ. เองในปัจจุบัน ก็คงมีจำนวนมากเลยที่เดียวที่ไม่ทำกิจกรรมอะไรเลย ไปทำอะไรนอกรั้วมหาวิทยาลัย แต่ไม่ใช่การทำกิจกรรม อาจจะดื่มเหล้า สังสรรค์ เฮฮาปาร์ตี้ ซึ่งมันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล มันก็ห้ามกันไม่ได้ ตรงนี้หรือเปล่าที่ผมมองว่าคนที่คิดประกาศนี้ขึ้นมา ต้องการจะดึงคนส่วนนี้บังคับให้มาทำกิจกรรม เสียแต่ว่าไปแจกแจงรายละเอียดเยอะไปไล่ไปเป็นด้านๆ ไหนจะหน่วยกิจกรรมตั้ง 60 หน่วยอีก มันก็เลยไปกระทบกับ นศ. ทั่วไปที่กิจกรรมอยู่แล้ว

แต่ในอีกมุมหนึ่งของความคิดมันก็สวนทางกับคำพูดที่พิมพ์ไป คือส่วนตัวผมคิดว่าเด็ก(นศ.)สมัยนี้ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง ค้นหาตัวเองไม่ค่อยเจอ คือยังไม่รู็้เลยว่าตัวเองชอบอะไร การบังคับให้ทำกิจกรมมก็อาจจะทำให้ นศ. บางส่วนได้ค้นพบตัวเองว่าชอบที่จะทำอะไรก็ได้

ทั้งหมดที่กล่าวมาผมคิดว่าควรจะยกเลิกในส่วนของการบังคับเป็นด้านๆ เพราะมันเหมือนจำกัดสิทธิของ นศ. จนเกินไป คงไว้เฉพาะจำนวนของหน่วยกิจกรรมที่ต้องทำให้ครบก่อนจบการศึกษาแต่จำนวนหน่วยอาจจะต้องลดลง วิธีนี้ผมคิดว่า คนที่ชอบทำกิจกรรมก็จะได้ทำในสิ่งที่ชอบ คนที่ยังไม่รู็ว่าตัวเองชอบอะไรก็จะได้ลองทำกิจจกรรมในสิ่งที่ตนชอบ ส่วนคนที่ไม่อยากทำกิจกรรมยังไงๆ ก็ต้องทำผลที่ได้ก็มีสองแบบคือ หลังจากที่ถูกบังคับให้ทำแล้วกลับรู้สึกชอบที่จะทำ กลับทำกิจกรรมแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ความคิดของผมเป็นเช่นนี้ครับ

jark กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ

เรื่องที่ห่วงอาจไม่ร้ายแรงอย่างที่คิดครับ คือการบังคับนี้ ระบุเฉพาะกับนักศึกษารหัส 52 เป็นต้นไปเท่านั้น เพราะเป็นประกาศใหม่ นักศึกษาที่กำลังจะจบ รหัสอื่น ๆ เช่น 49 50 จะไม่ได้รับผลกระทบจากประกาศนี้

ส่วนที่ให้ความเห็นว่าจะคงการบังคับไว้บางส่วนก็ได้ แต่ขอให้ลดจำนวนหน่วยกิจกรรมที่บังคับลง และไม่ต้องตีกรอบให้ครบ 5 ด้าน ผมก็เห็นด้วยครับ

สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ คือเขียนแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ แล้วส่งให้ผู้เสนอตัวเข้ารับตำแหน่งอธิการบดีทั้ง 6 ท่านได้รับทราบ ส่วนทราบแล้วท่านจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เราก็ได้แค่คอยดูนั่นแหละครับ