วันศุกร์, กรกฎาคม 16, 2547

ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ

ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ ได้ยินมาจากไหนไม่รู้
เคยบันทึกลงบันทึกประจำวันออนไลน์ไว้ แต่ไอ้บันทึกนั้นเดี้ยงไปแล้ว
ประมาณว่าที่เต็ม หรือเขาจะไม่ให้ฟรี หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ
ไม่ใช่ประเด็น



เรื่องของเรื่องคือ มีอยู่คืนหนึ่งตั้งใจจะนึกประโยคนี้ แต่มันนึกไม่ออก
พอนึกออกเลยต้องบันทึกไว้อีกที
คราวนี้คงไม่หายเพราะว่าจะเอาไปลงในเว็บส่วนตัวด้วยอีกทางหนึ่ง



ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ ทำให้คิดไม่ยอมแพ้ หรือเลยตามเลย ให้ต่อสู้ให้ถึงที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม มีแต่ปลาตายเท่านั้นที่ไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ
แล้วแต่ว่ากระแสน้ำจะพัดไปไหน



ว่ายทวนน้ำไปแล้วจะดีจะชั่ว มันก็ตัวเราเอง
เมื่อถึงที่สุดแล้วอย่างน้อยก็ไม่ต้องไปโทษฟ้าโทษดินแล้วมานั่งเสียใจว่า
รู้งี้สู้ให้ถึงที่สุดดีกว่า อะไรทำนองนั้น





วันพุธ, กรกฎาคม 07, 2547

สิทธิของคนอื่น

กรณีคดีหมิ่นประมาททางอินเตอร์เนต (นายมือกลองฯ) ที่เป็นข่าวอยู่นี้ ใครผิดใครถูกผู้เขียนขอละไว้ เนื่องจากไม่ทราบละเอียดว่าผู้ต้องหาทำอะไร ไม่ได้ทำอะไร ภาพที่เป็นต้นเหตุก็ไม่เห็น

แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่โต จึงอยากถือโอกาสนี้ กล่าวถึงบางสิ่งบางอย่างที่ถูกละเลยเสมอๆ ในโลกไซเบอร์ของเรานี้ หากปล่อยปละไป อาจะสร้างความเห็นผิดให้แก่ประชากรชาวเนตต่อไปได้

สิ่งที่ถูกละเลยเสมอๆนั้นคือ สิทธิส่วนบุคคลของบุคคลอื่น ผ่านการกระทำอย่างน้อย สามรูปแบบนั่นคือ

๑. การเผยแพร่ภาพแอบถ่าย(เปลือย หรือ ร่วมเพศ) ของบุคคลที่แม้แต่คนเผยแพร่ก็ไม่รู้จัก ด้วยเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน

กรณีนี้เรียกว่าทั้งผู้บันทึกภาพและผู้ที่ส่งภาพต่อๆกันไป ขาดความรับผิดชอบอย่างถึงที่สุด เพราะตนเองก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าบุคคลในภาพนั้นยินดีที่จะถูกบันทึกภาพหรือไม่ และยินดีจะให้เผยแพร่ภาพหรือไม่ และไม่แคร์! ว่าเขาจะยินดีหรือไม่!! เสมือนว่าบุคคลในรูปไม่ใช่คน ที่มีเลือดเนื้อและหัวใจ ที่จะรู้สึกเจ็บปวด อับอาย ได้กระนั้น

๒. จดหมายลูกโซ่เนื้อความใส่ร้ายป้ายสี บุคคล หรือร้านค้า เช่นคนๆนี้ขี้โกง ร้านนี้โก่งราคา
คนๆนี้ขี้หลี หนุ่มคนนี้ฟันสาวคนนั้นแล้วทิ้ง สาวคนนั้นฟันหนุ่มคนนี้แล้วทิ้ง คนนี้ชอบแย่งแฟนชาวบ้าน ฯลฯ

คนเขียนนั้น ถ้าเขียนจากความจริง โดยประสบการณ์ตรง มันก็ไม่ผิด แต่คนส่งต่อๆกันไปนั้น
ทราบได้อย่างไร ว่าเรื่องที่มาถึงตัวนั้น จริง หรือ ไม่จริง? หรือว่าไม่แคร์
ไม่สนใจสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาแม้แต่น้อย? ส่งต่อๆไปโดยไม่สนแม้แต่น้อยว่าจริงหรือไม่ ถ้าไม่จริง ก็ให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหาซวยไปอย่างนั้นหรือ?

เคยมีรุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่ง แย้งว่า ถ้าคนๆนั้นไม่ได้ทำ ก็น่าจะอยู่เฉยๆ เรื่องไม่จริงจะเดือดร้อนไปทำไม ผมก็แย้งไปว่า ถ้ามีคนส่งเมล์ส่งต่อว่าร้ายพี่ ว่าพี่เป็นคนเจ้าชู้ ไปปู้ยี่ปู้ยำเธอแล้วทิ้ง แล้วส่งต่อๆกันไปเพื่อเตือนกันว่าอย่าเข้าใกล้พี่ ตัวเธอเองจะอยู่เฉยไหวหรือ? ก็เห็นนิ่งไป ไม่ว่าอะไร

๓. บางเรื่องก็ถือเป็นเรื่องดีๆ แต่ส่งต่อๆไปแล้ว ไม่ใส่ชื่อผู้แต่งไปด้วย ที่ร้ายกว่านั้น บางคนก็สมอ้างว่าตนเองเขียนขึ้นเอง บางครั้งด้วยความด้อยปัญญา ทำให้ไปรับสมอ้างคำของเผด็จการมาบ้าง ก็มี รับสมอ้างคำของปูชณียบุคคลซึ่งทุกคนทราบว่าคำนี้เป็นของใคร แต่คนส่งข้อความต่อไม่ทราบก็มี อย่างนี้เห็นแล้วก็สังเวช สมเพช และเศร้าใจครับ

จากที่คุยมา เด็กๆหลายคน ไม่ทราบจริงๆ ครับว่า

  • การที่ส่งข้อความว่าร้าย นาย ก. ว่าเลวเช่นนั้นเช่นนี้ต่อๆไปให้เพื่อน โดยที่ตัวเองไม่ทราบข้อเท็จจริงนั้น ละเมิดสิทธิของนาย ก. อย่างยิ่ง
  • ไม่เช้าใจว่าการชมภาพเปลือยแอบถ่าย มันวิปริตยิ่งกว่าการชมภาพเปลือยธรรมดา เป็นร้อยเป็นพันเท่า ไม่รู้จะตกใจบ้างหรือเปล่าถ้าดูๆไปกำลังเพลินๆ ไปเจอรูป ลูกสาว หลานสาว พี่สาว น้องสาว ของตัวเองเข้า (บางคนถ้ามันวิปริตมากอาจจะเพลินต่อ? ด้วยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา!!??)
  • ไม่เข้าใจว่าการส่งข้อความ บทความ ซึ่งมีผู้เขียนไว้ต่อไป โดยไม่ใส่ชื่อผู้แต่ง มันเสียมารยาท อย่าว่าแต่ผิดกฏหมายลิขสิทธิ์


บางคนพยายามยึดบรรทัดฐานจากโลกจริงๆเข้าไปใช้ บางคนยึดบรรทัดฐานจากเมืองนอก (ซึ่งจริงๆมันก็ยังพัฒนาไม่ถึงที่สุด ไม่รู้ว่าทำไมต้องตามฝรั่งเสมอๆ โดยไม่แยกแยะถูกผิด) ผมคิดว่าน่าจะมีการร่วมมือกันหลายๆฝ่ายทำอะไรสักอย่าง เพื่อสร้างจารีตอันดีงามในโลกไซเบอร์ให้ได้

วันศุกร์, กรกฎาคม 02, 2547

เราเป็นพุทธศาสนิกชนจริงๆหรือ?

เมื่อหลายวันก่อน ได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่อง The Passion of the Christ หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ชม Musical เรื่อง Jesus Christ Superstar เมื่อได้ชมก็เกิดคำถามบ้าง

คำถามหนึ่งคือ ทำไม Jesus จึงปรารถว่าพระเจ้าทอดทิ้งพระองค์? ในชณะที่ Jesus ถูกตรึงกางเขนอยู่
เราก็เก็บคำถามนี้ไปถามเพื่อนๆระหว่างทานอาหารกลางวัน ก็ปรากฏว่ามีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เขาเข้าโบสถ์ทุกอาทิตย์
และคิดว่าเขาจะตอบได้ จึงคุยกัน

ก็เห็นว่าเขารู้เรื่องศาสนาของเขาดี ตอบคำถามได้ฉะฉานนัก แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจกระจ่าง
เขาจึงเสนอ DVD Discussion เกี่ยวกับปัญหานี้ให้ผมยืม

เมื่อได้ชมจึงเข้าใจว่า ทำไมพระทุทธศาสนา จึงมีคนนับถือน้อยลง ไม่กว้างขวางดังศาสนาคริสต์เขา
ก็เพราะเราขาดคนที่เอาธุระในเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นภาระของพระในวัดแต่ถ่ายเดียว
แม้เรามีนักเรียนพูดภาษาฝรั่งได้มาก ก็กลับมีนักเรียนที่เข้าใจศาสนาตัวเองอย่างลึกซึ้งน้อย
และนักเรียนที่อาจจะเข้าใจศาสนาตัวเองอย่างลึกซึ้งนั้น ก็หาตัวพูดภาษาฝรั่งยาก

ไม่ทราบเหมือนกันว่า ถ้าหากมีอาจารย์ฝรั่ง นักเรียนฝรั่ง ถามนักเรียนไทยในต่างประเทศ
ว่าด้วยเรื่องของศาสนาพุทธ คนของเราซึ่งจบชั้นสูงๆ ขั้นต่ำปริญญาตรีได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต
แล้วนั้น จะตอบเขาว่าอย่างไร