วันจันทร์, มกราคม 25, 2559

ปีแห่งการฝึกสมาธิ

ปีที่แล้วทั้งปีไม่ได้เขียนบันทึกเลย

ส่วนหนึ่งคือต้องรับผิดชอบงานประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่งตลกมากเพราะปริมาณงานประกันฯ เยอะและซับซ้อนสับสนจนกระทั่งต้องขอเลื่อนการสอนรายวิชาหนึ่งออกไป 1 ภาคการศึกษา

พูดสั้น ๆ ว่ามาทำการประกันว่านักศึกษาจะได้รับคุณภาพงานสอนที่ดีจนกระทั่งไม่ได้สอนนั่นแหละ (ฮาไม่ออก)

บางคนที่เห็นชอบกับงานประกันก็อาจแปลกใจว่ามันไม่น่าจะยากขนาดนั้น อืม...เอางี้นะ สมมติว่ามันไม่ยากจริง ๆ นั่นแหละ แต่ผมไม่เก่งไง แล้วคนเก่ง ๆ เขาก็ไม่มาทำหรอก งานแบบนี้น่ะ เรื่องประกันนี่อยากจะเขียนต่างหากไว้เมื่อความคิดตกตะกอนกว่านี้อีกสักหน่อย

อีกส่วนหนึ่งคือปีที่แล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558 ได้มีโอกาสไปเป็นนักศึกษาในหลักสูตรครูสมาธิของสถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขา 78 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในรุ่นที่ 36 ชื่อรุ่นว่าฉัตติงสโม โชติกาล (ยุคที่รุ่งเรือง)

สาเหตุที่ทำให้ไปสมัครเรียนก็คือ ผมรู้คุณประโยชน์ของสมาธิมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนตัวน้อย ๆ แล้ว แต่ไม่เคยฝึก ไม่เคยปฏิบัติ นาน ๆ เข้าวัดสักทีก็แค่ทำบุญใส่ซอง ถ้านั่งสมาธิเองก็นั่งแบบงู ๆ ปลา ๆ ไม่มีหลัก ในช่วงชีวิตการทำงานที่ผ่านมาก็ตั้งใจมาตลอดว่าอยากจะไปวัด ไปฝึก ไปเรียน ไปหัดให้มันเป็น มันจะได้รู้ว่าเป็นยังไงและจะได้ไม่รู้สึกเสียชาติเกิดว่าเป็นชาวพุทธทั้งที ทำสมาธิไม่เป็น

ทุกครั้งที่จะไปวัดก็กลัว กลัวคุยกับพระผิด กลัวจะทำอะไรเปิ่น ๆ กลัวทำผิดแล้วจะบาป บางทีก็ไม่มีเวลา แต่ช่วงต้นปีที่แล้วตอนที่เห็นประกาศรับสมัครของสถาบันนั้น ใจก็คิดเลยว่า
"นี่ครูบาอาจารย์เขามาถึงที่แล้ว อำนวยความสะดวกให้ขนาดนี้ ถ้าไม่ไปเรียนอีกต่อไปก็ไม่ต้องพูดแล้วว่าอยากเรียน แต่เรียนไม่ได้เพราะติดนั่นติดนี่"
แม้จะเรียกชื่อหลักสูตรว่าครูสมาธิ แต่คนสำคัญที่สุดที่เราต้องสอนเขาก็คือตัวเอง พูดง่าย ๆ ว่าเรียนไปเพื่อเป็นครูของตัวเองนั่นแหละ สำหรับการเรียนสมาธิที่สาขา 78 จะเป็นการเรียนในวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 18:00 - 20:30 น. ซึ่งเหมาะกับคนทำงานกินเงินเดือนอย่างเรามาก ๆ การเรียนจะใช้เวลาราว 4-5 เดือน

การเรียนสมาธิใช้เวลาก็จริง แต่เวลาที่เอาไปใช้นั้นเป็นเวลาที่ไม่รบกวนหน้าที่หลักของเราจริง ๆ เท่าไร ไม่ว่าจะเป็นในฐานะลูก ในฐานะสามี ในฐานะอาจารย์ เช่นเวลาที่มาเขียน Blog เวลาทำงานพิเศษ เวลาทำงานอดิเรก เวลาดูหนังซีรีส์ตอนเย็น ซึ่งหายไปก็ไม่เดือดร้อน

ช่วงที่เรียนอยู่นั้นจึงให้โอกาสตนเองได้ฝึกจิตอย่างเต็มที่

เมื่อจบหลักสูตรแล้วก็ได้อาสาช่วยงานของสถาบันต่อไปอีกระยะหนึ่ง เท่ากับว่าให้โอกาสตนเองได้ตอบแทนพระคุณครูบาอาจารย์โดยการช่วยงานท่าน ได้ฟังท่านสอนและก็ได้โอกาสฝึกสมาธิเพิ่มเติมไปในตัวด้วย ก็เป็นเหตุให้ไม่ได้บันทึก Blog ไว้เลยทั้งปี

เรียนแล้วได้อะไร?

บางคนคิดว่าเรียนสมาธิแล้วต้องกลายเป็นชาววัด ต้องบรรลุธรรม ต้องทิ้งการทิ้งงาน อันที่จริงก็ไม่ใช่ ผมเองเรียนจบแล้วก็ยังเป็นชาวบ้านแค่ใกล้วัดเข้ามาอีกหน่อยเท่านั้น ยังไม่บรรลุธรรมแหง ๆ แต่ทุกครั้งที่ทำสมาธิก็คือว่าได้สร้างปัจจัยที่จะช่วยให้บรรลุธรรมสะสมไว้ (เรียกว่าหยอดกระปุก) ไม่ทิ้งการทิ้งงาน แต่รู้จักบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองดีขึ้น (ทำให้มีทุกข์น้อยลงด้วย)

ที่ดีที่สุดสำหรับผมก็คือจากคนที่นั่งสมาธิไม่เป็น นั่งไม่ได้ นั่งแล้วจะเหน็บกิน ตอนนี้ก็ไม่กินแล้ว แต่ก่อนนั่งแล้วจะกระสับกระส่ายตอนนี้ก็อยู่นิ่ง ๆ ได้เป็นนานสองนาน ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกว่าการนั่งสมาธิเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งไปแล้ว เป็นสิ่งที่ทำได้ทุกวันเหมือนการกินข้าว การอาบน้ำ การนอนหลับพักผ่อน ไม่ใช่เฉพาะวันที่จะเข้าวัดหรือเฉพาะวันพระเท่านั้น

ที่สำคัญคือสังเกตได้ว่าจิตใจมั่นคงดีขึ้นพอสมควร แม้เรื่องประกันคุณภาพการศึกษาและเรื่องอื่น ๆ จะรบกวนชีวิตอยู่มากเหมือนเดิม แต่ก็รบกวนจิตใจเราได้น้อยลง ทำให้รู้สึกว่าต้องบ่นน้อยลง รำคาญตัวเองน้อยลง แค่เท่าที่ได้ในปัจจุบันชาตินี้ก็คุ้มแล้ว

หากท่านใดได้อ่านบันทึกนี้แล้วเกิดความสนใจว่าหลักสูตรครูสมาธิของสถาบันพลังจิตตานุภาพสอนอะไร ขอให้ไปลองเรียนด้วยตนเองจะดีที่สุด เพราะเล่าไปบางคนก็จะคาดหวังไปเปะปะ ความวิเศษของหลักสูตรนี้อยู่ที่ความธรรมดาของมันนั่นแหละ มันไม่มีอะไรพิสดารหรอก แต่มันได้ผล อย่างน้อยก็กับผมและเพื่อนร่วมรุ่นทุกคน

ถ้าใครจะไปผมก็ขออนุโมทนาด้วยครับ - สวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น: