ระหว่างที่ค้นหาก็ได้พบบรรยายธรรมเกี่ยวกับพระสูตรอยู่ 2 บทคือ การบรรยายธรรมเรื่องสาราณียธรรมสูตร และ การบรรยายธรรมเรื่องสิงคาลกสูตร เนื้อหาก็มีเยอะแต่ที่จับได้ตามกำลังสติ ปัญญา และสมาธิ ก็คือพระสูตรแรกว่าด้วยเรื่องความสามัคคี และพระสูตรหลังว่าด้วยธรรมะสำหรับฆราวาส ฟังแล้วก็ได้คิดว่าถ้านำไปใช้ในเรื่องการเมือง ประเทศไทยคงสงบสุขเร็วขึ้น
ในบรรยายธรรมเรื่องสาราณียธรรมสูตรนั้นท่านว่าเหตุแห่งความสามัคคีนั้นก็คือ
- บุคคลในหมู่คณะต้องมีศีลเสมอกัน ท่านขยายความว่าทุกคนต้องมีสิทธิ์เท่า ๆ กันตามสมควรแห่งฐานานุรูป
- อีกข้อหนึ่งก็คือบุคคลในหมู่คณะต้องมีทิฏฐิเสมอกัน จากที่ท่านขยายความผมก็เข้าใจว่าคล้าย ๆ อุดมการณ์เดียวกันนั่นแหละ คือหวังผลปลายทางไว้อย่างเดียวกัน
- ศีลไม่เสมอกัน คือคนกลุ่มหนึ่งได้รับข้อยกเว้นบางอย่าง คนอีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้รับข้อยกเว้นโดยไม่มีเหตุแห่งการยกเว้น คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิบางอย่างเหนือกว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งโดยไม่มีเหตุแห่งการมีอภิสิทธิ์ หรือเหตุดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล ก็เรียกว่าศีลไม่เสมอกัน การระงับเหตุแห่งการมีศีลไม่เสมอกันในระดับประเทศก็คือการบังคับใช้กฏหมายต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
- ทิฏฐิไม่เสมอกัน คือมีความเห็นในด้านอุดมคติเป้าหมายปลายทางที่แตกต่างกันมาก
เรื่องนี้คงต้องทำความเข้าใจกันจริง ๆ จัง ๆ ว่าคำว่าภายใต้กฏหมายเท่าเทียมกันนั้น มันไม่ต้องเท่ากันเป๊ะ ๆ ทุกคน เรียกว่าให้เสมอกันตามฐานานุรูปก็น่าจะได้ ทั้งนี้เพราะแต่ละคนก็ล้วนมีบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ กัน แม้แต่ในโรงเรียน นักเรียนคุยในห้องเรียนก็ถูกตัดคะแนน ครูคุยในห้องเรียนก็ไม่มีคะแนนจะตัด แต่มีโทษอย่างอื่นแทน เช่นถูกครูใหญ่ตำหนิ ตักเตือน ตัดเงินเดือน ฯลฯ นี้แสดงให้เห็นว่า สิทธิเท่าเทียมมันไม่ได้เท่ากันเป๊ะ ๆ แบบเหมือนกันทุกประการ แต่มันจะมีหลักการอันสมเหตุสมผลรองรับให้เหมาะให้ควรแก่บทบาทหน้าที่ของแต่ละคน
การยกให้ใครเหนือกฏหมายโดยสิ้นเชิงหรือการพยายามกดให้ทุกคนอยู่ในกฏแบบเท่ากันเป๊ะ ๆ ผมจึงคิดว่าเป็นเรื่องผิดธรรมชาติและเป็นเหตุแห่งความแตกแยกเอามาก ๆ
อีกประเด็นที่ว่าทิฏฐิควรเสมอกัน ที่ผมแปลว่าอุดมการณ์ไปในทางเดียวกันก็มีข้อโต้แย้งได้ว่า คนเราจะคิดเหมือนกันได้อย่างไร หรือที่ร้ายกว่าคือจะไปควบคุมให้ทุก ๆ คนคิดเหมือนกันได้อย่างไร
ผมคิดว่าภายใต้ความแตกต่างกันในทางการเมืองนั้น ทุกคน (ควรจะ) มีอุดมการณ์ปลายทางอย่างเดียวกัน ก็คือความสุขความเจริญของประเทศชาติ (ชาติก็คือประชาชน) ความสงบสันติ ไม่ว่าจะเชื่อลัทธิการเมืองแบบใดก็ควรมีความคาดหวังเช่นนี้ไว้เป็นปลายทาง ถ้าเรามองเรื่องนี้ให้ชัด ๆ เราก็ควรจะเห็นได้ว่าทุกคนในประเทศ (ที่เป็นปรกติ) น่าจะถือได้ว่ามีทิฏฐิเสมอกันทั้งนั้น แต่จะไปยึดติดแบ่งเขาแบ่งเราด้วยหลักอุดมการณ์ที่ตื้นกว่าอยู่หรือเปล่า
ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เรามีการโต้แย้งกันทางการเมือง ทางสังคม แล้วเราย้อนกลับมาคิดถึงศีลเสมอกัน และทิฏฐิเสมอกัน เราก็สามารถที่จะถกเถียงได้อย่างสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ ความเกลียดชังกัน การเหน็บแนมเสียดสีกันก็น่าจะลดลง
การโต้แย้งใดที่ไม่เอื้อต่อการทำความเข้าใจกัน โดยอาศัยสองหลักที่ว่าข้างต้น ก็น่าที่จะถูกตั้งคำถามจากประชาชนว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องหรือไม่
การสร้างสรรค์สังคมที่จะตระหนักถึงการทำให้ศีลเสมอกันและทิฏฐิเสมอกันได้นั้น บุคคล 2 กลุ่มเป็นอย่างน้อยควรตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนเองที่จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม นั่นก็คือ
- นักวิชาการและ
- สื่อสารมวลชน
- ฉันทาคติ คือลำเอียงเพราะชอบ
- โทสาคติ คือลำเอียงเพราะชัง
- โมหาคติ คือลำเอียงเพราะหลง
- ภยาคติ คือลำเอียงเพราะกลัว
หากการแสดงหลักการ แสดงความเห็น เสนอข่าวและข้อมูลต่าง ๆ กระทำกันแบบตรงไปตรงมาโดยปราศจากอคติ 4 ประชาชนก็จะได้เรียนรู้ และเมื่อประชาชนได้เรียนรู้ก็จะเกิดความเข้าใจในสภาพศีลเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกัน เมื่อเข้าใจและปฏิบัติได้ สามัคคีก็เกิด ความเจริญก้าวหน้าก็เกิด
ผมคิดว่าเราไม่ต้องไปหวังอะไรจากนักการเมือง เจ้าลัทธิ นักปลุกระดม แต่เราควรคาดหวังได้จากนักวิชาการและสื่อสารมวลชนธรรมดา ๆ นี่แหละ ถ้าเราคาดหวังอะไรจากนักวิชาการและสื่อสารมวลชนไม่ได้ ไม่ว่าหลักการสวยหรูใด ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์อันใดแก่ประเทศไทย ประชาชนชาวไทย และสังคมไทยทั้งสิ้น
ถ้าพวกเราจะรู้ทันนักการเมือง เจ้าลัทธิ และนักปลุกระดมได้ ประเทศไทยน่าจะเจริญกว่านี้ สงบสุขกว่านี้ และน่าอยู่กว่านี้มากทีเดียว
อ้างอิง
บรรยายธรรมที่ผมได้รับฟังนี้เป็นบรรยายธรรมเรื่องพระสูตรของท่านพระธรรมเมธาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ) เป็นพระสูตรแผ่นที่หนึ่ง ลำดับที่ 2 และลำดับที่ 14 - 17 ตามลำดับ