tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post8665555462098789080..comments2023-03-17T16:10:41.098+07:00Comments on Thoughts: คำถามที่ตรรก (เท่าที่ผมมีปัญญาอยู่) ตอบไม่ได้jarkhttp://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-69198450492736381052013-01-09T10:47:20.580+07:002013-01-09T10:47:20.580+07:00เสียดาย กดไลค์ คอมเมนต์ใน Blogger ไม่ได้เสียดาย กดไลค์ คอมเมนต์ใน Blogger ไม่ได้jarkhttps://www.blogger.com/profile/06067226942750015657noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-54225109276110926652013-01-07T10:26:24.843+07:002013-01-07T10:26:24.843+07:00เรื่องของชาติ เป็นตัวอย่างที่ดีของปัญหาที่เกิดจากค...เรื่องของชาติ เป็นตัวอย่างที่ดีของปัญหาที่เกิดจากความสุดโต่งนะครับ<br /><br />ในด้านหนึ่ง ประวัติศาสตร์ชาตินิยมได้หล่อหลอมวิธีคิดของคนในชาติให้รักชาติตัวเอง เกลียดชาติอื่น ซึ่งในขณะที่โลกยังอยู่ในยุคสงครามแย่งชิงอาณาเขตนั้น ทัศนะเช่นนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างชาติ แต่ในยุคที่โลกเริ่มเปลี่ยนสู่การพาณิชย์ สู่ความร่วมมือข้ามพรมแดน เรื่องนี้กลับกลายเป็นปัญหาที่ขัดขวางความเจริญ<br /><br />ขณะเดียวกัน สิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กันคือขั้วตรงข้ามที่มุ่งปฏิเสธทัศนะเก่าแบบถอนรากถอนโคน ถึงขั้นทิ้งรากเหง้าโดยไม่แยกแยะส่วนดีส่วนเสียเลย<br /><br />ปัญหาของความคลั่งชาติแบบแรกคือมันทำให้คนคุยกับเพื่อนบ้านไม่รู้เรื่อง ความร่วมมือไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ต้องมาสาละวนกับกรณีพิพาท<br /><br />ส่วนการทิ้งรากเหง้านั้น ก็คือการทำลายความหลากหลายทางวัฒนธรรมของโลกรูปแบบหนึ่ง ตัวสังคมท้องถิ่นเองก็โตแบบขาดความต่อเนื่อง ขาดอัตลักษณ์ ขาดความมั่นคง<br /><br />ถ้าปัญหาการทิ้งรากเหง้ายังไม่แจ่มชัดสำหรับคนที่มีแต่มุมมองแบบเศรษฐกิจ ก็ขอให้ดูกรณีอีสานเป็นตัวอย่าง อีสานถูกส่วนกลางแบ่งแยกมานาน ว่าไม่มีประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมร่วมกับลุ่มเจ้าพระยา และมองว่าเป็นพวกล้าหลัง แต่เมื่อเริ่มเกิดปัญหาการแบ่งแยกดินแดนในสมัยคอมมิวนิสต์ รัฐบาลกลางกลับใช้การรณรงค์ให้เรียกคนอีสานว่าไทยอีสาน ไม่ใช่ลาว พร้อมกับล้างสมองคนอีสานให้ลืมรากของตัวเอง สรุปคือยังไงคนอีสานก็ถูกปลูกฝังให้ปฏิเสธรากเหง้าของตัวเองทั้งขึ้นทั้งล่อง มองว่าเมืองหลวงคืออุดมคติ สิ่งที่เกิดขึ้นคือค่านิยมละทิ้งถิ่นฐานของคนอีสาน ทิ้งไร่นาบ้านช่องให้ผู้เฒ่าดูแล เอาแรงงานและทรัพยากรทั้งหมดเข้าไปสร้างความเจริญ (และความแออัด) ให้เมืองหลวง ทิ้งบ้านเมืองตัวเองให้ขาดการพัฒนา บางส่วนก็ข้ามขั้นไปแต่งงานกับฝรั่งเสียเลย ปัญหานี้ไม่ค่อยเกิดกับภาคอื่นที่ยังคงรักษารากเหง้าของตัวเองไว้ได้<br /><br />เมื่อพัฒนาไปในแนวนี้นานเข้า ก็เริ่มเห็นกันว่ามันยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างเมืองหลวงกับภูมิภาคห่างกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เมืองหลวงเองก็ไม่ชอบปัญหาความแออัดและอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น<br /><br />ถ้าขยายสเกลของกรณีอีสานให้เป็นประเทศ และเปลี่ยนเมืองหลวงเป็นประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายแทน ก็จะเห็นความคล้ายคลึงของอาการ "ขุดทอง" และ "สมองไหล" อยู่<br /><br />ความจริงแล้ว ถ้ามองโลกทั้งระบบ กระแสโลกาภิวัตน์นั้นมีมาสองส่วน คือการแผ่ขยายวัฒนธรรมกลาง กับการปรับให้เข้ากับท้องถิ่น ดังจะเห็นจากแฟรนไชส์ข้ามชาติอย่างแมคโดนัลด์ ร้านพิซซ่า หรือไอศกรีมสเวนเซ่น ที่จะต้องมีเมนูที่ปรับสูตรเป็นอาหารท้องถิ่น ถ้าไปที่ญี่ปุ่นก็จะมีวาซาบิให้จิ้ม เป็นต้น ในโลกของซอฟต์แวร์ก็ยิ่งสะท้อนแนวคิดออกมาเด่นชัด เป็น internationalization กับ localization ซึ่งจะเห็นว่าโลกาภิวัตน์เองก็รู้ดีว่าต้องรักษาความหลากหลายในโลกที่เริ่มทำอะไรเหมือน ๆ กันเอาไว้<br /><br />ความสุดโต่งทั้งสองขั้ว ไม่ว่าจะคลั่งชาติหรือทิ้งรากเหง้า จึงไม่เข้ากับความเป็นจริงของโลกปัจจุบันครับ ท่าทีที่เหมาะสมจึงควรเป็นการเรียนรู้กระแสโลกแล้วปรับให้เข้ากับอัตลักษณ์ของตัวเองให้เป็นธรรมชาติที่สุด ซึ่งก็น่าจะเป็นสิ่งที่วัฒนธรรมไทยถนัดอยู่แล้วในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาThephttps://www.blogger.com/profile/10435804402627433015noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-7164982.post-83457690979937934042013-01-06T15:44:39.545+07:002013-01-06T15:44:39.545+07:00ลองพยายามตอบดูนะครับ
โดยภาพรวม คิดว่าปัญหาอยู่ที่...ลองพยายามตอบดูนะครับ<br /><br />โดยภาพรวม คิดว่าปัญหาอยู่ที่ความสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสองด้าน ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว การยึดเอาเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งจะทำให้เกิดปัญหามากกว่า<br /><br />เรื่องภาษา จริงครับที่ภาษามีวิวัฒนาการตามกาลเวลา แต่ก็ต้องเข้าใจให้ตรงกันว่ามันเป็นปรากฏการณ์ลักษณะไหน<br /><br />ถ้าเป็นคำสแลงใหม่ ๆ ก็ต้องผ่านการทดสอบของมหาชนเสียก่อนจึงจะอยู่ได้ รวมถึงการจะอยู่คงทนหรือเปล่าด้วย<br /><br />ถ้าเป็นเรื่องการสะกดคำ สเกลของเวลาจะยาวนานกว่านั้น จากรัชกาลหนึ่งถึงอีกรัชกาลหนึ่ง คงไม่ใช่ชนิดวันต่อวันอย่างที่ผู้กล่าวอ้างหมายความ<br /><br />ในอีกทางหนึ่ง ผมมองว่าการที่ในอดีตมีความแปรปรวนของตัวสะกดสูงนั้น เป็นเพราะยังขาดแบบแผนในการเรียนการสอน รวมทั้งการสื่อสารก็ไม่ได้ใกล้ชิดเท่าปัจจุบัน ตำราต่าง ๆ จึงไม่มีการชำระให้ตรงกัน ต่างกับสมัยนี้ที่ภาษามีการพัฒนาระเบียบแบบแผนดีขึ้น เงื่อนไขจึงต่างไปแล้ว<br /><br />ขออ้างถึงสถานการณ์ของภาษาลาวซึ่งในยุคหนึ่งมีปัญหาเรื่องเอกภาพของภาษาอย่างมาก มีระบบสะกดคำแตกต่างกันอย่างน้อย 3 ระบบใหญ่ ๆ (ดู <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A7" rel="nofollow">วิกิพีเดีย</a>) ยังไม่นับแบบย่อย ๆ ที่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน ผู้แต่งตำราก็จะมีปัญหาว่าควรสะกดคำอย่างไรดีจึงจะใช้ได้ทั่วประเทศ ดังปรากฏการออกตัวในคำนำของหนังสือลาวเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่าน และเรียกร้องให้รัฐบาลจัดระเบียบอักขรวิธีให้เป็นแบบแผนเดียวกันเสียที<br /><br />แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าการมีระเบียบแบบแผนจะเป็นการฆ่าภาษาให้ตาย ภาษานั้นมีความต้องการอธิบายสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอเป็นปกติอยู่แล้ว คำใหม่ ๆ ย่อมเกิดได้ตลอดแม้จะมีระเบียบกำกับอยู่ครับ<br /><br />นี่เพิ่งข้อแรกข้อเดียวเองใช่ไหมนี่Thephttps://www.blogger.com/profile/10435804402627433015noreply@blogger.com